แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 56
1
สร้างอาชีพจากข้าวไข่ข้นหมูกรอบ เมนูอาหารตามสั่ง อร่อยทำง่าย

ข้าวไข่ข้นหมูกรอบเป็นเมนูอาหารตามสั่งที่อร่อยลงตัวจริงๆครับ เป็นเมนูที่ทำง่าย ขายก็คล่อง มาดูสูตรและเคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้กันครับ

ข้าวไข่ข้นหมูกรอบ เมนูอร่อยทำง่าย

ข้าวไข่ข้นหมูกรอบเป็นเมนูอาหารตามสั่งยอดนิยม ทำง่าย แถมอร่อยลงตัวสุด ๆ

ส่วนผสม:

ข้าวสวยหุงสุก 1 จาน

หมูกรอบ ตามชอบ (สามารถซื้อสำเร็จรูป หรือทำเอง)

ไข่ไก่ 2 ฟอง

นมสดรสจืด 2 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา (ถ้าชอบหวาน)

พริกไทยป่น เล็กน้อย

ต้นหอมซอย เล็กน้อย

น้ำมันพืช เล็กน้อย

วิธีทำ:

ตอกไข่ไก่ใส่ชาม ใส่นมสด ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย (ถ้าใช้) และพริกไทยป่น ตีให้เข้ากัน

ตั้งกระทะ ใช้ไฟกลาง ใส่น้ำมันเล็กน้อย พอน้ำมันร้อน เทไข่ที่ตีไว้ลงไป

ใช้ตะหลิวคนไข่เบา ๆ ให้ไข่จับตัวเป็นก้อนนุ่ม ๆ ไม่สุกจนเกินไป

ตักข้าวสวยใส่จาน วางหมูกรอบบนข้าว ราดด้วยไข่ข้น โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย พร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับความอร่อย:

หมูกรอบ: เลือกหมูกรอบที่กรอบนอกนุ่มใน จะทำให้เมนูนี้อร่อยยิ่งขึ้น

ไข่ไก่: ใช้ไข่ไก่สดใหม่ จะทำให้ไข่ข้นมีสีเหลืองสวยและรสชาติอร่อย

นมสด: นมสดจะช่วยให้ไข่ข้นมีความนุ่มละมุนลิ้น

ไฟ: ใช้ไฟกลางในการทำไข่ข้น และคนไข่เบา ๆ เพื่อไม่ให้ไข่สุกจนเกินไป

ความเร็ว: รีบราดไข่ข้นบนข้าวทันที เพื่อให้ไข่ยังมีความเยิ้มอยู่

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:

สามารถเพิ่มท็อปปิ้งอื่น ๆ ได้ตามชอบ เช่น กุ้ง หมูสับ หรือผัก

หากชอบรสชาติจัดจ้าน สามารถเติมพริก หรือน้ำจิ้มซีฟู้ดได้

ลองทำตามสูตรนี้แล้วมาอร่อยกับข้าวไข่ข้นหมูกรอบง่าย ๆ ที่บ้านได้เลยครับ

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial conjunctivitis)

เยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย พบได้บ่อยในคนทุกวัย ส่วนใหญ่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เองภายใน 10-14 วัน

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น สเตรปโตค็อกคัส สแตฟีโลค็อกคัส สูโดโมแนส ฮีโมฟิลุส เป็นต้น ติดต่อโดยการสัมผัสถูกนิ้วมือ ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัวที่ปนเปื้อนเชื้อ

บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไข้หวัด คออักเสบ

นอกจากนี้ผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ทำความสะอาดไม่ถูกต้องอาจเกิดการติดเชื้อเป็นโรคนี้ได้

อาการ

มีอาการตาแดง หนังตาบวม มีขี้ตามาก มีลักษณะเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว บางรายตื่นขึ้นมาตอนเช้าพบว่าตาติดกันจนลืมไม่ขึ้น ต้องใช้น้ำเช็ดออก ผู้ป่วยมักจะมีอาการอักเสบของตาทั้ง 2 ข้าง โดยเป็นที่ตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงลามมาอีกข้างหนึ่ง

ส่วนมากจะไม่มีอาการปวดตา หรือเคืองตามาก ไม่มีอาการคัน และต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูไม่โต

ภาวะแทรกซ้อน

หากได้รับการรักษา มักจะหายขาดภายใน 1-2 สัปดาห์

หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อแบคทีเรียอาจลุกลามทำให้กระจกตาอักเสบหรือเป็นแผล

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก ซึ่งมักตรวจพบอาการตาแดง หนังตาบวม มีขี้ตาสีเหลืองหรือเขียว

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือสงสัยติดเชื้อที่ร้ายแรง (เช่น เชื้อหนองใน ซึ่งส่วนใหญ่พบในทารกแรกเกิด) แพทย์อาจนำของเหลวที่ตา (น้ำตา ขี้ตา) ไปตรวจหาเชื้อ

ถ้าตรวจพบว่าเป็นตาอักเสบจากเชื้อหนองใน ดูโรคตาอักเสบจากเชื้อหนองใน

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะใช้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่เข้ายาปฏิชีวนะทุก 2-4 ชั่วโมง และก่อนนอนควรใช้ชนิดขี้ผึ้งป้ายตาที่เข้ายาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันมิให้ตาติดกันตอนตื่นนอน ก่อนใช้ยาทุกครั้ง ควรใช้น้ำสุกเช็ดขี้ตาออก

ถ้าหนังตาบวมมาก จะให้กินยาปฏิชีวนะ เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน หรือร็อกซิโทรไมซิน ถ้าปวดมากให้ยาแก้ปวด

ส่วนมากอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรให้ยาต่อสัก 5-7 วัน

ผลการรักษา มักจะหายขาดภายใน 1-2 สัปดาห์

การดูแลตนเอง

หากมีอาการปวดตา เคืองตา ตาแดง ขี้ตาแฉะ หนังตาบวม ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นเยื่อตาขาวอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดใช้คอนแท็กต์เลนส์จนกว่าจะหายดี
    หลีกเลี่ยงการซื้อยาหยอดตามาใช้เอง เพราะอาจมีตัวยาที่ไม่ปลอดภัยหรือทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการตาแดง ตาแฉะ หรือปวดตามากขึ้น หรือมีสายตาพร่ามัว
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคตาแดง ตาอักเสบ
    หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว คอนแท็กต์เลนส์ แว่นตา เป็นต้น) ร่วมกับผู้ที่เป็นโรคตาแดง ตาอักเสบ
    หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่บ่อย ๆ หรือชโลมมือด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ
    ระวังอย่าเผลอใช้มือขยี้ตา

ข้อแนะนำ

1. ถ้าพบอาการตาอักเสบในทารกแรกเกิด ควรนึกถึงตาอักเสบจากเชื้อหนองในไว้เสมอ

2. เยื่อตาขาวอักเสบ (มีอาการตาแดง ตาแฉะ เคืองตา คันตา) อาจมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และจากการแพ้ ควรแยกให้ออกจากกัน เพราะการรักษาต่างกัน (ตรวจอาการ "เคืองตา/คันตา/ตาแฉะ/ตาแดง (Red Eye)" ประกอบ)

ถ้ามีการระบาด มักเกิดจากไวรัส

3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
น้ำยาบ้วนปากของเด็ก ส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟันเด็กหรือไม่ 

สุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็กนั้น เป็นเรื่องพื้นฐานที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น มีความสำคัญและฟันจะอยู่ไปจนเด็กโตขึ้นหรือตลอดชีวิต ซึ่งเราควรที่จะดูแลรักษาความสะอาดด้วยการปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการแปรงฟันที่ถูกวิธี เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และเข้าใจในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแปรงฟัน วิธีการใช้ไหมขัดฟันหรือแม้กระทั่งวิธีการบ้วนปาก ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ไม่เกิดปัญหาฟันผุหรือฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควร เพราะการที่เด็กมีฟันน้ำนมผุและหลุดก่อนเวลาอันควรนั้น จะส่งผลต่อการขึ้นของฟันแท้ บางครั้งเมื่อฟันแท้กำลังสร้างฐานฟันและฟันน้ำนมเกิดการหลุดออก อาจทำให้กระบวนการสร้างฐานฟันแท้ไม่สมบูรณ์

บางครั้งอาจทำให้ฟันขึ้นมาในลักษณะที่ผิดปกติหรือต้องเจอกับภาวะฟันหาย นั่นก็คือฟันไม่สามารถงอกออกมาได้ตามปกติ โดยอาการเหล่านี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งทันตแพทย์จัดฟันจะนำเครื่องมือการจัดฟันติดตั้งเข้าไปในฟันที่ ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้และติดตั้งเครื่องมือเพื่อให้เครื่องมือได้ดึงฟันออกมา แต่วิธีการนี้อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร ดังนั้นการป้องกันไว้ก่อนดีกว่าการต้องมาแก้ไขในอนาคตอย่างแน่นอน ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ดูแลในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของลูกให้มาก แนะนำวิธีการต่างๆในการทำความสะอาดช่องปากและฟันรวมไปถึงดูแลในเรื่องของการรับประทานอาหารด้วยให้เด็กรับประทานที่เหมาะสมเพื่อที่จะได้เสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันไปในตัว

แต่สำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันเรียบร้อยแล้วก็ต้องมีวิธีการดูแลเอาใจใส่ให้มากกว่าปกติทั่วไป เพราะเรามีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก ซึ่งจะทำความสะอาดได้ยากอยู่แล้ว การแปรงฟันและดูแลฟันให้สะอาด สำคัญที่สุดในขณะจัดฟัน คงไม่มีใครต้องการให้ฟันเรียงตัวสวยแต่มีรอยผุเต็มไปหมด หรือมีเหงือกอักเสบแย่าแน่นอน ดังนั้น ความร่วมมือและใส่ใจในการดูแลฟันตัวเองของเด็กๆในระหว่างจัดฟัน เป็นเรื่องที่นำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจว่าจะเริ่มรักษาโดยการจัดฟันด้วย พ่อแม่หลายคนอาจจะมีคำถามถึงการดูแลรักษาความสะอาดฟันของลูกระหว่างการจัดฟัน ยกตัวอย่างเช่น การใช้น้ำยาบ้วนปากระหวางการจัดฟัน จะมีผลต่อเครื่องมือการจัดฟันหรือไม่


วันนี้ทางคลินิกจะมาพูดถึงการใช้น้ำยาบ้วนปากของเด็ก ระหว่างการจัดฟัน สำหรับน้ำยาบ้วนปากสำหรับเด็ก แต่ต้องบอกก่อนว่า น้ำยาบ้วนปาก ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี เพราะเด็กอาจจะกลืนเข้าไปและเกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หรือเกิดการเป็นพิษขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม เด็กเล็กก็สามารถหัดให้ใช้น้ำยาบ้วนปากได้ แต่ทางที่ดีควรรับคำแนะนำจากแพทย์ การใช้น้ำยาบ้วนปากในเด็ก โดยส่วนใหญ่น้ำยาบ้วนปากของเด็กมักจะใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ แต่การที่เด็กเข้ารับการจัดฟันจะใช้น้ำยาบ้วนปาก ก็ควรเป็นเด็กที่มีอายุ 7 ขวบขึ้นไป จะปลอดภัยกว่า เพราะเด็กมีความเข้าใจในการใช้แล้ว แต่ระหว่างการจัดฟันนั้น การใช้น้ำยาบ้วนปาก ถือว่าเป็นเรื่องดีและไม่ส่งผลต่อเครื่องมือการจัดฟัน แต่อาจจะทำให้สีของยางอาจจะเปลี่ยนไปได้ แต่ไม่ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องมือการจัดฟัน และยังช่วยทำให้การทำความสะอาดฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจฟันหรือจะเป็นการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านทันตกรรมในเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะการที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีก็จะช่วยทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย รวมไปถึงช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี หากบุตรหลานของท่านเข้ารับการรักษากับทางคลินิกบุตรหลานของท่านจะมีฟันที่สวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใส สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน

5
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



6
ซ่อมบำรุงอาคาร: ต้นตอปัญหาน้ำรั่วบริเวณฝ้าเพดาน เกิดได้จากอะไรบ้าง?

สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย คือเรื่องของโครงฝ้าเพดาน ที่จะต้องใช้วัสดุที่ทนต่อความชื้น มีการเคลือบชุบสังกะสี ไม่เป็นสนิม แข็งแรง และทนทาน เพื่อไม่ให้ฝ้าเพดานถล่มลงมาหลังจากเกิดการขังของน้ำ ซึ่งปัญหาน้ำรั่วจากฝ้าเพดาน เป้นปัญหากวนใจสำหรับใครหลายคน แถมยังสร้างความหนักใจในการแก้ไขปัญหาด้วย เพราะถือว่าเป็นงานที่ใหญ่ และต้องแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เพราะต้นตอของปัญหาการรั่วซึมนั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ

หากเราแก้ไขไม่ถูกจุด ก็จะสร้างปัญหาให้กับเจ้าของบ้านอยู่เรื่อยๆ ประกอบกับเรื่องความสะอาดภายในบ้านของเรา เป็นสิ่งที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่อยู่เสมอ เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่เราต้องอยู่อาศัยทุกวัน ถ้าปล่อยให้บ้านมีความสกปรก ไม่เช็ดถูทำความสะอาด อาจจะส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้ แถมยังทำให้บรรยากาศภายในบ้านไม่ดีด้วย และปัญหาน้ำรั่วซึม ยังเป้นต้นเหตุของปัญหาคราบเชื้อราบนผนัง ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนในบ้าน ดังนั้น วันนี้จะมาพูดถึงต้นตอของการเกิดปัญหาน้ำรั่วซึม ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในบ้านของเรา หากไม่รีบแก้ไขอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน อาจจะทำให้ฝ้าพังลงมาได้เลยทีเดียว

ปัญหาที่เจอบ่อยกันมากในช่วงฤดูฝนก็คือ ฝ้าเพดานรั่ว เพราะอย่างที่รู้กันว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่ชื้นและฝนก็ตกนานมาก ซึ่งการที่น้ำจะรั่วซึมนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลก แต่การเกิดการรั่วซึมบริเวณฝ้าเพดานก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นมีน้ำที่รั่วซึมมาจากหลังคา เพราะในช่วงที่ฝนตก ถ้าหากหลังคาหรือดาดฟ้ามีรอยรั่วอยู่ น้ำก็จะไหลลงมายังฝ้าเพดาน ทำให้เปียกจนอาจจะเกิดการบวม ขึ้นรา และเกิดการทะลุได้ หรืออาจจะมีน้ำรั่วซึมจากภายนอก เช่น รอยแตกร้าวของผนังปูน ที่เมื่อฝนสาดเข้ามาใส่บ้านแล้ว น้ำเหล่านั้นก็จะไหลไปรวมกันที่ฝ้าเพดานได้เหมือนกับการรั่วที่หลังคา รวมไปถึงการรั่วซึมภายในบ้าน ถ้าหากห้องน้ำที่อยู่ชั้นบนของบ้าน ไม่ได้ปูวัสดุกันซึมก่อนปูกระเบื้อง น้ำอาจจะซึมเข้าตามผนังและไหลไปยังฝ้าเพดานชั้นล่าง หรือ ท่อน้ำภายในเกิดการชำรุด จนน้ำรั่วไหลออกมา ก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ฝ้าเพดานรั่ว

บางครั้งอาจจะส่งกลิ่นเหม็น ทำให้บรรยากาศภายในบ้านไม่น่าอยู่ได้อีกด้วย นอกจากนี้ อาจจะมีสาเหตุมาจาก แผ่นยิปซัมที่เราใช้อาจจะไม่กันชื้น สำหรับแผ่นฝ้ายิปซัมบางชนิดนั้น ไม่ได้มีวัสดุเคลือบที่ทนต่อความชื้น หรือมีอัตราการอมน้ำที่สูง เมื่อน้ำรั่วมาจากภายในบ้าน จะทำให้น้ำซึมเข้าไปข้างใน จนเกิดอาการบวม และรั่วออกมาในที่สุด และอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดน้ำรั่วบนฝ้าเพดานนั้น ก็คือ เรื่องตำแหน่งของท่อระบายน้ำ ซึ่งก็นับว่าเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการติดตั้งตะแกรงระบายน้ำทิ้ง ที่อาจเจาะและติดตั้งไม่ดี ส่งผลให้ข้อต่อของท่อระบายน้ำไม่พอดีกัน แล้วนำมาสู่เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมไปยังห้องด้านล่าง และมีคราบน้ำบริเวณฝ้าเพดานอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้

การปูกระเบื้องที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็สามารถทำให้เกิดปัญหารั่วซึมได้ มักมีสาเหตุมาจากช่างที่ทำการก่อสร้าง หรือปูกระเบื้องมาตั้งแต่แรก ๆ โดยเฉพาะการปูกระเบื้องแบบซาลาเปา ที่จะต้องนำกาวซีเมนต์ไปทาลงบนบางส่วนของแผ่นกระเบื้อง สุดท้ายแล้วก็ส่งผลให้ตัวกระเบื้องมีช่องว่าง จนทำให้มีความชื้นและน้ำไปสะสม ท้ายที่สุดแล้วก็ส่งผลให้กระเบื้องหลุดร่อน ระเบิด หรือโก่งตัว จนนำมาสู่ปัญหาน้ำซึมและน้ำรั่วตามมา ปัญหาการรั่วซึมเหล่านี้ เราสามารถป้องกันได้ เพียงแค่เราคอยหมั่นสังเกต และตรวจเช็คให้ดีว่ามีรอยรั่วซึมตรงไหนบ้าง เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ทันที และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาที่ผนังตามมา ซึ่งก็จะเกิดปัญหาไม่จบไม่สิ้น ต้องมาคอยแก้ไขบ่อยครั้ง ดังนั้น บ้านที่เราอยู่ เราควรจะสังเกตถึงปัญหาและรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด

อย่างที่ทราบกันว่า ปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้เรามีบริการทำความสะอาดบ้าน หรือภายในอาคารต่างๆ รวมไปถึงยังมีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เพราะเราห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรกเสมอ

7
หมอออนไลน์: ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (Head injury/Traumatic brain injury) เลือดออกในสมอง (Intracranial hemorrhage)

ศีรษะได้รับบาดเจ็บ (บาดเจ็บที่ศีรษะ ก็เรียก) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงไม่มาก ผู้ป่วยอาจมีอาการหัวโน ฟกช้ำที่หนังศีรษะ แผลฉีกขาดหรือแผลถูกตัดที่ศีรษะ หรือกะโหลกศีรษะร้าวหรือแตก โดยไม่กระทบต่อสมอง

แต่ถ้าการบาดเจ็บรุนแรงมาก มักมีผลกระทบต่อสมอง เกิดอาการผิดปกติทางสมอง (เรียกว่า "สมองได้รับบาดเจ็บ/บาดเจ็บที่สมอง" หรือ "Traumatic brain injury/TBI") ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายลักษณะ ได้แก่ สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด ทำให้มีเลือดออกในสมอง*) ส่งผลให้มีการทำลายเนื้อสมองส่วนต่าง ๆ เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ไปตามส่วนของสมองที่ถูกกระทบ

ถ้าสมองส่วนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ก็อาจทำให้เกิดอาการหมดสติ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ แขนขาเป็นอัมพาต ชัก เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตหรือพิการได้

* เลือดออกในสมอง อาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมอง หรือในเนื้อสมองก็ได้ มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บเป็นส่วนใหญ่

ส่วนในรายที่ไม่มีประวัติการได้รับบาดเจ็บ อาจเกิดจากมีสาเหตุอื่น เช่น หลอดเลือดสมองแตกจากโรคความดันโลหิตสูง โรคเลือดที่มีภาวะเลือดออกง่าย  ภาวะผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง  ภาวะเลือดออกที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือยากันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) เป็นต้น (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง")

ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บที่สมอง


สาเหตุ

การบาดเจ็บมักเกิดจากอุบัติเหตุที่สำคัญ ได้แก่ อุบัติเหตุจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ (พบบ่อยในผู้ที่มีพฤติกรรมขับขี่รถขณะมึนเมา และไม่คาดเข็มขัดนิรภัยหรือสวมหมวกนิรภัย)

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการตกจากที่สูง ตกบันได หกล้มศีรษะกระแทกถูกของแข็ง อุบัติเหตุจากการปั่นจักรยาน การเล่นกีฬา หรือการทำงาน การทำร้ายร่างกาย ในทารกแรกเกิดก็อาจมีการบาดเจ็บของศีรษะจากการคลอดยาก เป็นต้น

อาการ

นอกจากบาดแผลหรืออาการฟกช้ำที่หนังศีรษะแล้ว ผู้ป่วยอาจแสดงอาการได้หลายลักษณะ ขึ้นกับความผิดปกติที่เกิดขึ้นในสมอง ดังนี้

1. สมองได้รับการกระทบกระเทือน (brain concussion) เกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง (เช่น เกิดเหตุรถชนขณะขับมาด้วยความเร็ว ศีรษะถูกกระทบกระแทกขณะเล่นกีฬา) ทำให้เนื้อสมองส่วนต่าง ๆ ในกะโหลกเกิดการกระทบกระเทือน ส่งผลให้ทำงานผิดปกติไปชั่วคราว โดยที่การบาดเจ็บนั้นไม่ได้ทำให้เกิดการฟกช้ำและการฉีกขาดของเนื้อสมอง หรือทำให้มีเลือดออกในสมอง

ผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุทันที หรือหลังเกิดเหตุเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ โดยอาจมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก บุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม (หงุดหงิดง่าย อารมณ์แกว่งง่าย)

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหมดสติหลังการบาดเจ็บ ซึ่งจะเป็นอยู่เพียงชั่วครู่ ประมาณ 2-3 นาที หรือมากกว่า (น้อยรายมากที่อาจหมดสตินานเกิน 15 นาที) เมื่อฟื้นแล้วอาจรู้สึกงุนงง จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นอยู่เพียงชั่วขณะหรือเป็นวัน ๆ

อาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ หายไปได้เองใน 2-3 วัน หรือเป็นสัปดาห์ ๆ

บางรายอาจมีอาการต่อเนื่องนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ ที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดศีรษะ อ่อนล้า มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง หลง ๆ ลืม ๆ ขาดสมาธิ นอนหลับยาก หรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม โดยอาจมีอาการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่างก็ได้ ภาวะดังกล่าวเรียกว่า "กลุ่มอาการหลังสมองได้รับการกระทบกระเทือน (post-concussion syndrome/PCS)"

สมองได้รับการกระทบกระเทือน นับว่าเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่ทำให้เสียชีวิต

2. สมองฟกช้ำ (brain contusion ซึ่งมักเกิดจากศีรษะได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง) หรือสมองฉีกขาด (brain laceration ซึ่งมักเกิดร่วมกับกะโหลกศีรษะแตก และมีเศษกระดูกยุบไปทิ่มตำเนื้อสมอง)

ถ้ารอยโรคมีขนาดเล็กมาก มีผลกระทบต่อสมองเพียงเล็กน้อย ก็จะมีอาการทางสมองไม่มาก (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน มีเสียงในหู เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อเสียงหรือแสง คลื่นไส้ เป็นลม อ่อนล้า เซื่องซึม สับสน หลงลืม ขาดสมาธิ นอนไม่หลับ) ซึ่งจะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง

ถ้ารอยโรคมีขนาดใหญ่ หรือรอยโรคมีขนาดเล็กแต่ทำให้สมองบวมหรือมีเลือดออก ก็จะมีอาการทางสมองที่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการหมดสติเป็นเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 2-3 นาที) หรือมากกว่า เมื่อฟื้นแล้วมักมีอาการเซื่องซึม สับสน กระสับกระส่าย หรือกระวนกระวาย บางรายอาจมีอาการชัก สูญเสียการทรงตัวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อ อาเจียน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ปากเบี้ยว พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ ตาพร่ามัวหรือเห็นภาพซ้อน หูตึง หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส บางรายอาจมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ ความคิดเชื่องช้าหรือติดขัด หรือควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ในรายที่การบาดเจ็บรุนแรงมาก อาจทำให้สมองบวมอย่างมาก และความดันในกะโหลกสูงมาก มีผลกระทบต่อสมองที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองเลื่อน (brain herniation) มีอาการสลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง) และทำให้เสียชีวิตได้
 

3. ก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ (intracranial hematoma) มักเกิดจากศีรษะได้รับบาดเจ็บจนทำให้หลอดเลือดในกะโหลกศีรษะฉีกขาด มีเลือดออก ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนเลือด (hematoma) ที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจเกิดที่เยื่อหุ้มสมองหรือในเนื้อสมองก็ได้ ก้อนเลือดจะกดดันเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการทางสมองที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ถือว่าเป็นภาวะร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้รวดเร็ว

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่องและรุนแรง อาเจียนอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึมลงเรื่อย ๆ เวียนศีรษะ สับสน พูดอ้อแอ้ รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน แขนขาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ในที่สุดเมื่อก้อนเลือดมีขนาดโตมาก ก็จะมีอาการเซื่องซึม ชัก สลบ (โคม่าหรือหมดสติอย่างต่อเนื่อง)

บางรายหลังบาดเจ็บอาจรู้สึกเป็นปกติดีอยู่สักระยะหนึ่ง หรืออาจมีอาการหมดสติหลังบาดเจ็บอยู่ครู่หนึ่งแล้วฟื้นคืนสติได้เอง ในระยะต่อมาจึงค่อยเกิดอาการทางสมองดังกล่าวข้างต้น

ในรายที่มีก้อนเลือดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักมีอาการเกิดขึ้นทันที หรือภายใน 24 ชั่วโมง

ส่วนในรายที่มีก้อนเลือดค่อย ๆ เกิดสะสมโตขึ้นทีละน้อย ก็อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังบาดเจ็บเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ หรือมากกว่า

ในรายที่เป็นก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง (chronic subdural hematoma) ซึ่งมีเลือดซึมออกทีละน้อย ค่อย ๆ สะสมเป็นก้อนโต พบบ่อยในผู้บาดเจ็บที่สูงอายุ หรือดื่มแอลกอฮอล์จัด อาจมีอาการเกิดขึ้นหลังได้รับบาดเจ็บเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ก็ได้ แล้วจึงค่อยมีอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นถี่และแรงขึ้นทุกที คลื่นไส้ อาเจียน ซึม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง หรือชักแบบโรคลมชัก

สำหรับทารกแรกเกิดที่มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ มักมีประวัติคลอดยากหรือศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนระหว่างคลอด มักจะมีอาการร้องเสียงแหลม ซึม อาเจียน ชัก แขนขาอ่อนแรงกระหม่อมโป่งตึง


อาการที่แสดงถึงความรุนแรงของผู้ป่วยศีรษะได้รับบาดเจ็บ

ถ้าพบอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

    หมดสติ
    ชัก
    ปวดศีรษะรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
    อาเจียนรุนแรง หรืออาเจียนอย่างต่อเนื่อง
    กระสับกระส่าย หรือซึมอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 ชั่วโมง
    แขนขาชาหรืออ่อนแรง
    ทรงตัวไม่ได้ หรือเดินไม่ได้
    พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ได้
    ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน หูตึง (ไม่ได้ยิน) จมูกไม่ได้กลิ่น หรือลิ้นไม่รู้รส
    หายใจลำบาก หรือมีอัตราการหายใจต่ำกว่าปกติ
    ชีพจรเต้นช้า และความดันโลหิตสูง
    คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง)
    รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน
    มีเลือดหรือน้ำใส ๆ (น้ำสมอง-ไขสันหลัง) ไหลออกทางจมูก ปาก หรือหู
    จดจำผู้คนหรือสิ่งรอบข้างไม่ได้

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงอาจถึงตายได้ หรือไม่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนในภายหลัง เช่น สมองพิการ แขนขาเป็นอัมพาต โรคลมชัก หูตึง หูหนวก ตามืดบอด พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ได้ สูญเสียการทรงตัว ความคิดสับสน ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคกังวล โรคซึมเศร้า

บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา" ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า "สภาพผัก (vegetative state)" คือ มีสภาพที่ไม่ได้หมดสติ มีสัญญาณชีพปกติ (หายใจได้ หัวใจเต้นเป็นปกติ) และมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน แต่ไม่สามารถรับรู้สิ่งแวดล้อม และสูญเสียความสามารถในการคิดและการตอบสนอง

สำหรับผู้ที่มีภาวะสมองได้รับการกระทบกระเทือน แม้ว่าจะมีอาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ถ้าหากปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำซาก (เช่น เล่นกีฬาที่มีการปะทะกันเป็นประจำ) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน โรคซึมเศร้า และภาวะสมองเสื่อมตอนอายุมากได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

อาจตรวจพบอาการหัวโน รอยฟกช้ำที่หนังศีรษะ ศีรษะแตก หรืออาจไม่พบรอยบาดแผลที่ศีรษะชัดเจนก็ได้

ในรายที่สมองได้รับบาดเจ็บรุนแรง ก็อาจตรวจพบอาการไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือหมดสติ แขนขาอ่อนแรง ตัวเกร็ง ชีพจรเต้นช้า หายใจตื้นขัด ความดันโลหิตสูง คอแข็ง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน (รูม่านตาข้างที่โตกว่า จะไม่หดลงเมื่อใช้ไฟส่อง)

บางรายอาจมีบาดแผลหรือการบาดเจ็บหลายแห่ง เช่น กระดูกแขนขาหัก บาดแผลที่ทรวงอก กระดูกสันหลังหัก เป็นต้น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง ตรวจเลือด เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

นอกจากดูแลรักษาบาดแผลที่ศีรษะที่ตรวจพบแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษาอาการบาดเจ็บที่สมอง ดังนี้

1. ถ้ามีอาการทางสมอง เช่น หมดสติ ปลุกไม่ค่อยตื่น เซื่องซึม ปวดศีรษะมากขึ้นทุกขณะ อาเจียนรุนแรง คอแข็ง เพ้อคลั่ง ชัก บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง แขนขาอ่อนแรง รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือมีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้การรักษาตามอาการหรือภาวะผิดปกติที่พบ เช่น ให้เลือด ให้น้ำเกลือ ให้ออกซิเจนหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ ยาลดไข้ ยาบรรเทาปวด ยากันชัก (ในรายที่มีอาการชัก)

ในรายที่พบว่ามีอาการสมองบวม (ซึ่งทำให้เกิดความดันในกะโหลกสูง มีอันตรายได้) อาจให้การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด

ถ้าตรวจพบว่ามีเลือดออกในสมองที่รุนแรง มักจะต้องทำการผ่าตัดสมองทันที

ในรายที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด (เช่น ผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดในสมองขนาดเล็ก) หรือในรายที่ผ่าตัดไม่ได้ (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาด) ก็จะให้การรักษาแบบประคับประคอง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ฟื้นฟูสภาพด้วยการทำกายภาพบำบัด

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ  ไม่ว่าผู้ป่วยจะมีประวัติหมดสติอยู่ชั่วขณะหรือไม่ก็ตาม แพทย์อาจรับตัวไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่ง หรือไม่ก็อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน และเฝ้าสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ถ้าพบมีอาการทางสมองอย่างใดอย่างหนึ่งแทรกซ้อนตามมาในภายหลัง (อาจหลังบาดเจ็บนานเป็นวัน ๆ เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ) ก็ควรพาผู้ป่วยกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรง พวกที่มีอาการไม่มาก (เช่น สมองได้รับการกระทบกระเทือน สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดเล็กน้อย) มักจะหายได้ภายในเวลาไม่นาน อาจเป็นวัน ๆ หรือเป็นสัปดาห์ ๆ

พวกที่มีอาการรุนแรง (เช่น สมองฟกช้ำหรือฉีกขาดที่รุนแรง มีก้อนเลือดในกะโหลกศีรษะ) ถ้าสมองไม่ได้ถูกทำลายมากและได้รับการรักษาได้ถูกต้องทันการ ก็มีโอกาสรอดชีวิตสูง และหายเป็นปกติหรือเกือบปกติได้ แต่บางรายอาจมีความพิการทางสมองบางส่วนอย่างถาวรได้

แต่ถ้าสมองได้รับผลกระทบรุนแรง หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป ก็มีโอกาสเสียชีวิตสูง หรืออาจมีความพิการที่รุนแรง เช่น อัมพาต พูดไม่ได้ หูหนวก สมองพิการ เป็นต้น บางรายอาจมีสภาพเป็น "เจ้าชายนิทรา"


การดูแลตนเอง

เมื่อมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ไม่ว่าจะพบมีบาดแผลที่ศีรษะหรือไม่ หรือมีอาการทางสมองหรือไม่ ควรพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อตรวจดูอาการและให้การดูแลรักษาตามความเหมาะสม

2. ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น หมดสติ ชัก ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียนรุนแรง แขนขาชาหรืออ่อนแรง หายใจลำบาก มีเลือดหรือน้ำใส ๆ ออกจากจมูก ปาก หรือหู เป็นต้น ควรให้การปฐมพยาบาล และพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน

3. ถ้าแพทย์ตรวจไม่พบอาการผิดปกติทางสมอง และให้ผู้ป่วยกลับไปบ้าน ควรพักผ่อน หยุดทำกิจกรรมที่มีผลกระทบต่อสมอง (เช่น การเล่นกีฬา) ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ามีอาการผิดปกติตามมา เช่น ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เซื่องซึมลง แขนขาชาหรืออ่อนแรง บ้านหมุน มีเสียงในหู (หูอื้อ) เห็นภาพซ้อน มีความรู้สึกไวต่อแสงหรือเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เป็นลม เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ทันที

4. ถ้าแพทย์รับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ควรดูแลรักษาตามที่แพทย์เห็นว่าเหมาะสม (เช่น การผ่าตัดสมอง) และเมื่อแพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ควรปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

 
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาเจียน เซื่องซึมลง ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง เป็นต้น
    บาดแผล (ที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด) มีการอักเสบ
    ขาดยา หรือยาหาย
    ถ้ากินยา (ที่แพทย์สั่งให้กลับมากินที่บ้าน) แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

หาทางป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บที่สำคัญ เช่น

    ในการขับขี่รถ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินยาที่ทำให้ง่วงนอนทั้งก่อนและขณะขับขี่รถ คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัย และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
    ใช้อุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ขณะขี่จักรยาน ขี่ม้า เล่นกีฬา หรือทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะ
    ระมัดระวังไม่ให้หกล้ม ตกจากที่สูงหรือตกบันได โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ

- จัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน และสนามเด็กเล่นให้มีความปลอดภัย

- หลีกเลี่ยงการปีนขึ้นที่สูง หากเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง

- หลีกเลี่ยงการเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยานในบริเวณที่มีพื้นผิวที่ลื่น หรือขรุขระ หรือมีลักษณะต่างระดับ

- ไม่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาขณะเจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนล้า

- ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนในช่วงกลางวัน หมั่นตรวจวัดสายตาและปรับแว่นที่ใช้ให้เหมาะ หมั่นบริหารร่างกายให้แข็งแรง และเวลาขึ้นลงบันไดก็ระวังอย่าเผลอสติ และใช้มือเกาะราวบันไดให้มั่นคง

- เฝ้าระวังเด็กเล็กขณะวิ่งเล่น ปีนป่าย หรือขึ้นลงบันได


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะทุกราย แม้จะไม่มีบาดแผลให้เห็น หรือมีเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่ศีรษะ หรือรู้สึกสบายดีตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรชะล่าใจว่าไม่เป็นไร ควรปรึกษาแพทย์ และเฝ้าสังเกตอาการทางสมองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 24 ชั่วโมงแรก และในสัปดาห์แรก ๆ หลังได้รับบาดเจ็บ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) หรือสารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น วาร์ฟาริน) ในการรักษาโรคบางอย่าง (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด) หากมีเลือดออกในสมอง มีโอกาสเกิดเลือดออกที่รุนแรงเป็นอันตรายได้ เนื่องเพราะยาเหล่านี้ทำให้เลือดหยุดยาก ดังนั้นควรระมัดระวังตัวไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อจะได้รับการดูแลรักษาได้ทันการ

2. บ่อยครั้งที่พบว่า ผู้ป่วยที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บและเกิดมีก้อนเลือดใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นนอกแบบเรื้อรัง ซึ่งมักจะไม่มีอาการผิดปกติตั้งแต่แรก และไม่ได้ไปพบแพทย์หลังได้บาดเจ็บที่ศีรษะ ด้วยรู้สึกว่าไม่เป็นอะไรมาก เมื่อปรากฏอาการหลังบาดเจ็บนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ ผู้ป่วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ) จะจำเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ หากอาการทางสมองไม่ได้เด่นชัด เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ไม่ได้ประวัติการบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้วินิจฉัยโรคได้ล่าช้าเกินไป ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุ ผู้ป่วยควรจดบันทึกไว้หรือแจ้งให้คนใกล้ชิดทราบ และแจ้งให้แพทย์ทราบ แพทย์ก็จะได้ข้อมูลที่สำคัญนี้ ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและการรักษาได้ทันท่วงที

3. ผู้ป่วยที่มีภาวะบาดเจ็บที่สมองบางราย หลังผ่าตัดสมองจนปลอดภัยและร่างกายฟื้นตัวได้ดี อาจมีโรคลมชักแทรกซ้อนตามมา ซึ่งจำเป็นต้องกินยากันชักควบคุมอาการตลอดไป

8
ใช้เครื่องมือจัดฟันเด็ก EF line ปรับกล้ามเนื้อแก้ไขตำเเหน่งลิ้น เเละขากรรไกร ช่วยแก้ไขอาการนอนกรน

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่ามีความสำคัญมากและพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะเอาใจใส่ดูแลและพูดทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาของสุขภาพช่องปากและฟัน ถ้าหากเด็กไม่ดูแลรักษาความสะอาด ก็อาจจะทำให้เกิดฟันผุหรือโรคเหงือกหรือโรคอื่นๆเกี่ยวกับช่องปากตามมาได้ นอกจากนี้ เด็กเล็ก พ่อแม่ก็ควรสอดส่องดูแลพฤติกรรมที่เกิดจากความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการดูดนิ้ว ดูดขวดนม หรือแม้กระทั่งหายใจทางปาก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ล้วนส่งผลทำให้เด็กเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้ นั่นก็คือ อาจจะทำให้ฟันมีการสบฟันที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก นอกจากนี้ พฤติกรรมเหล่านี้ยังส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ทำให้เด็กมีโครงสร้างของใบหน้าที่ผิดตำแหน่ง ซึ่งก็สามารถส่งผลต่อการขึ้นของฟันได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น พฤติกรรมเหล่านี้ พ่อแม่คนสังเกตลูกน้อยด้วยว่าเด็กมีพฤติกรรมเหล่านี้นานเกินไปหรือไม่และค่อยๆให้เด็กเลิกพฤติกรรมดังกล่าวก่อนที่จะเกิดความเคยชินและทำให้ส่งผลเสียต่อโครงสร้างของใบหน้า กระดูกขากรรไกร รวมไปถึงฟันของเด็ก นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งพฤติกรรมของเด็กที่มักพบได้บ่อยนั่นก็คืออาการนอนกรน ซึ่งอาการนอนกรนนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วนในเด็ก เนื่องจากแป้งและไขมันที่รับประทานเข้าไปจะไปสะสมบริเวณหลอดทางเดินหายใจ ภาวะจมูกอักเสบเรื้อรังจากภูมิแพ้  เยื่อบุภายในบวมทำให้อุตันทางเดินหายใจ โรคทางสมองและกล้ามเนื้อทำงานไม่ดีมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ หรือโครงหน้าผิดปกติเช่น คางสั้น ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครอง จะต้องหมั่นสังเกตอาการของเด็ก หากพบพฤติกรรมการนอนที่ผิดปกติ แล้วไม่รีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจส่งผลต่อพฤติกรรมในเด็กในระยะยาวได้ เช่น การเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์ตามวัย สมาธิสั้นได้ ถ้าหากเด็กมีพฤติกรรมดังกล่าวก็ควรพาเด็กไปพบแพทย์

แต่ถ้าหากเด็กมีปัญหาในเรื่องของกล้ามเนื้อหรือโครงสร้างของใบหน้าที่ผิดปกติ ก็สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก ซึ่งอาการนอนกรน เกิดจากกล้ามเนื้อคอคลายตัวขณะหลับ จนทำให้ช่องคอแคบลง ซึ่งส่งผลให้ต้องหายใจเข้าออกแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อ ภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีเสียงกรนตามมา นอกจากนี้ การกรนยังเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น เกิดการปิดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากการหย่อนตัวของกล้ามเนื้อ ภายในระบบทางเดินหายใจ เช่น ลิ้น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน คอ หรืออาจเกิดจากสารหล่อลื่น ในระบบทางเดินหายใจลดลง ทำให้เกิดอาการแห้ง และบวม ทางเดินหายใจจึงแคบลง เมื่อหายใจจึงเกิดเป็นเสียงกรน ซึ่งถ้าหากอาการที่เกิดในเด็กนั้น ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ EF line

เพื่อปรับกล้ามเนื้อแก้ไขตำเเหน่งลิ้นเเละขากรรไกรได้ เพราะเครื่องมือ EF line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ และยังช่วยทำให้เด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีรอยยิ้มที่สดใสสวยงามได้ตั้งแต่อายุยังน้อย และทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมที่จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการได้อย่างเต็มที่

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีคามเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็ก และมีประสบการณ์เกี่ยวกับด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน ดังนั้น ทันตแพทย์ของเราจะสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางการรักษาหรือแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เพื่อที่เด็กจะได้รับการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้จริง ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่า การเข้ารับการจัดฟันในเด้กของเราจะทำให้เด็กต้องรู้สึกอึดอัดหรือไม่สะดวกใในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะยิ่งถ้าเด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ก็จะยิ่งทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่ดีได้อย่างแน่นอน และยังสามารถใช้ชีวิตปรำจำวันได้อย่างเต็มที่อีกด้วย

9
ดอกบัวในโถแก้ว: DIY ดอกไม้แห้ง ใช้แต่งบ้านก็เก๋ ทำของที่ระลึกก็ได้

ดอกไม้แห้งมีเสน่ห์ตรงที่สามารถคงความงามไว้ได้ยาวนาน และให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบวินเทจ หรือมินิมอล ขึ้นอยู่กับการนำไปประยุกต์ใช้ นี่คือไอเดียที่คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ ครับ

ไอเดียสำหรับตกแต่งบ้าน

จัดช่อดอกไม้แห้งในแจกัน:

วิธีทำ: นำดอกไม้แห้งที่มีก้านยาว เช่น กุหลาบแห้ง, ยิปโซแห้ง, สแตติสแห้ง, ยูคาลิปตัสแห้ง มาจัดรวมกันเป็นช่อ

การจัดวาง: ใส่ในแจกันแก้วใส แจกันเซรามิกสีขาว/เอิร์ธโทน หรือตะกร้าสาน วางบนโต๊ะกลาง โต๊ะข้าง หรือชั้นวางของในห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือห้องรับประทานอาหาร

จุดเด่น: เป็นการตกแต่งที่เรียบง่ายแต่ดูดี เพิ่มความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติให้กับห้อง


ดอกไม้แห้งในโหลแก้ว/ขวดแก้ว:

วิธีทำ: นำดอกไม้แห้งดอกเล็กๆ หรือกลีบดอกไม้แห้ง มาใส่ในโหลแก้ว ขวดแก้ว หรือขวดแยมเปล่าที่ทำความสะอาดแล้ว อาจใส่ทรายสี หรือหินก้อนเล็กๆ รองพื้น

การจัดวาง: วางเรียงกันบนชั้นวางของ ริมหน้าต่าง หรือโต๊ะเครื่องแป้ง

จุดเด่น: ดูน่ารัก มินิมอล และช่วยป้องกันดอกไม้แห้งจากฝุ่นได้ดี


กรอบรูปดอกไม้แห้ง/ภาพแขวนผนัง:

วิธีทำ:

แบบทับแห้ง: ใช้ดอกไม้แห้งแบบทับ (Pressed Flowers) จัดเรียงบนกระดาษแข็งสีพื้น แล้วนำไปใส่กรอบรูป หรือกรอบรูปสองด้านที่เป็นกระจกใส

แบบ 3 มิติ: สำหรับดอกไม้แห้งแบบ 3 มิติ (เช่น กุหลาบดอกเล็ก) อาจใช้กรอบรูปที่มีความลึก (Shadow Box Frame) จัดวางดอกไม้ด้านในแล้วปิดฝา

การจัดวาง: แขวนบนผนัง หรือวางบนโต๊ะ/ชั้นวาง

จุดเด่น: เป็นงานศิลปะเฉพาะตัวที่สวยงามและมีความหมาย โดยเฉพาะหากเป็นดอกไม้จากโอกาสพิเศษ


โมบายดอกไม้แหวน:

วิธีทำ: ร้อยดอกไม้แห้ง (เช่น ยิปโซ, สแตติส, ดอกหญ้า) หรือกลีบดอกไม้แห้งเข้ากับเชือกหรือเอ็นใส อาจใช้ไม้แขวนหรือกิ่งไม้แห้งเป็นฐานด้านบน

การจัดวาง: แขวนบริเวณหน้าต่าง ประตู หรือมุมห้องที่ต้องการความเคลื่อนไหว

จุดเด่น: ดูพลิ้วไหว สวยงาม และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

เทียนหอมดอกไม้แห้ง (Botanical Candles):

วิธีทำ: ใช้กลีบดอกไม้แห้ง หรือดอกไม้แห้งขนาดเล็ก โรยลงไปในขณะที่เทเทียนไขเหลว (Soy Wax หรือ Beeswax) ลงในภาชนะ หรืออาจติดดอกไม้แห้งไว้รอบนอกของเทียนที่ทำเสร็จแล้ว (ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน)

จุดเด่น: เทียนดูสวยงาม มีกลิ่นหอม และให้แสงที่อบอุ่น


ไอเดียสำหรับทำของที่ระลึก/ของขวัญ

ที่คั่นหนังสือดอกไม้แห้ง:

วิธีทำ: ใช้ดอกไม้แห้งแบบทับ (Pressed Flowers) วางบนกระดาษแข็งขนาดเท่าที่คั่นหนังสือ แล้วเคลือบด้วยพลาสติกใส (Self-adhesive Laminating Sheets) หรือใช้เรซิ่นเคลือบ

จุดเด่น: เป็นของขวัญที่เรียบง่าย น่ารัก และใช้งานได้จริง เหมาะสำหรับคนรักการอ่าน

การ์ดอวยพร/ของขวัญตกแต่งดอกไม้แห้ง:

วิธีทำ: ติดดอกไม้แห้งแบบทับ หรือดอกไม้แห้งขนาดเล็กบนการ์ดอวยพร กล่องของขวัญ หรือกระดาษห่อของขวัญ

จุดเด่น: เพิ่มความพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ให้กับของขวัญ ทำให้ดูน่ารักและใส่ใจมากขึ้น


เครื่องประดับเรซิ่นดอกไม้แห้ง:

วิธีทำ: นำดอกไม้แห้งขนาดเล็ก หรือกลีบดอกไม้แห้ง มาจัดวางในแม่พิมพ์ซิลิโคนสำหรับทำเครื่องประดับ (เช่น ต่างหู, สร้อยคอ, พวงกุญแจ) แล้วเทเรซิ่น (Epoxy Resin) ลงไป ทิ้งไว้ให้แข็งตัว

จุดเด่น: เป็นของที่ระลึกที่สวยงาม ทนทาน และสามารถพกพาติดตัวได้

ถุงบุหงา/ซองหอมดอกไม้แห้ง:

วิธีทำ: นำดอกไม้แห้งที่มีกลิ่นหอม (เช่น ลาเวนเดอร์, กุหลาบ) หรือพรมด้วยน้ำมันหอมระเหยที่ชอบ มาใส่ในถุงผ้าโปร่งเล็กๆ หรือถุงผ้าตาข่าย

จุดเด่น: ใช้ปรับอากาศในตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก หรือวางไว้ในห้องน้ำ ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ และเป็นของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ


สบู่ดอกไม้แห้ง:

วิธีทำ: ซื้อเบสสบู่แบบกลีเซอรีนมาละลาย แล้วใส่กลีบดอกไม้แห้ง หรือดอกไม้แห้งขนาดเล็กลงไปในแม่พิมพ์สบู่ ก่อนเทเบสสบู่ที่ละลายแล้วลงไป ทิ้งไว้ให้แข็งตัว

จุดเด่น: สบู่ดูสวยงาม น่าใช้ และมีกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยที่ผสมลงไป

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับ DIY ดอกไม้แห้ง:
เลือกดอกไม้ที่เหมาะสม: ดอกไม้แต่ละชนิดให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันเมื่อแห้ง (ดูจากคำแนะนำเรื่องการคัดเลือกดอกไม้)

ทำดอกไม้แห้งให้ถูกวิธี: เลือกวิธีทำดอกไม้แห้งที่เหมาะสมกับชนิดดอกไม้และผลลัพธ์ที่ต้องการ (เช่น ตากลม, ซิลิกาเจล, ทับแห้ง, ไมโครเวฟ)

ป้องกันฝุ่นและความชื้น: ดอกไม้แห้งจะเปราะบางและดูดซับความชื้นได้ง่าย ควรเก็บในที่แห้ง พ้นแสงแดด และหากเป็นไปได้ ควรเก็บในภาชนะปิด หรือพ่นสเปรย์เคลือบ

ความคิดสร้างสรรค์: อย่ากลัวที่จะทดลองผสมผสานดอกไม้แห้งกับวัสดุอื่นๆ หรือคิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาเอง!

หวังว่าไอเดียเหล่านี้จะช่วยให้คุณสนุกกับการ DIY ดอกไม้แห้ง และสร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามไม่ซ้ำใครนะครับ!

10
จัดฟันบางนา: ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังจากการครอบฟัน ?

การครอบฟัน ถือได้ว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งการครอบฟันนี้เป็นการทำให้ฟันที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงให้กลับมามีสภาพที่แข็งแรงอีกครั้งด้วยวัสดุอุปกรณ์ทางทันตกรรม โดยจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ครอบฟันแบบถาวร และ ครอบฟันแบบชั่วคราว โดยทั้ง 2 รูปแบบจะใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ต่างกันออกไปตามความเหมาะสมในการใช้งาน

ซึ่งในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จัก และเข้าใจถึงปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการครอบฟัน ซึ่งจะทำให้ท่านสามารถรู้จักวิธีแก้ไข และไม่ตื่นเต้นจนเกินไป โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


เหตุใดการครอบฟันจึงมีความจำเป็น ?

– สิ่งแรกเลยที่ทุกคนทราบคุณประโยชน์ของการครอบฟันก็คือ เพื่อป้องกันฟันที่มีสภาพอ่อนแอไม่ให้แตกหักหรือว่าถูกทำลายได้ง่าย

– ฟันผุที่มีขนาดใหญ่จะทำให้ฟันนั้นมีความอ่อนแอเป็นอย่างมาก ต่อให้เมื่อทำการอุดฟันแล้วฟันยังมีสภาพๆไม่แน่นอน บางท่านจึงใช้วิธีทำการครอบฟันอีกชั้นเพื่อรักษาฟันซี่นั้นให้มีสภาพแข็งแรง

– เพื่อทำการยึดสะพานฟัน ไม่ให้ฟันซี่ที่มีปัญหาโยกคลอนหลุดออกได้

– ส่วนหนึ่งมักนิยมทำการครอบฟันเพื่อปกปิดฟันบางซี่ที่มีสภาพไม่สวยงามให้ดูดีและคงทนแข็งแรง

– ใช้ครอบรากฟันเทียมที่มีสภาพอ่อนแอ


วิธีการดูแลหลังการครอบฟัน ?

ต้องขอบอกเลยว่าการครอบฟันนั้น ไม่ได้ช่วยให้ฟันของท่านแข็งแรงกว่าปกติแต่อย่างใด ฟันของท่านยังสามารถที่จะมีปัญหา เหงือกของท่านก็สามารถที่จะมีปัญหาได้เช่นกัน เพราะเหตุนี้เอง ต่อให้ท่านทำการครอบฟันมาแล้ว ท่านก็ยังคงต้องดูแลช่องปากให้ถูกต้องตามหลักสุขอนามัย โดยการแปรงฟันให้ถูกต้องวันละ 2 ครั้ง เช้า (ตื่นนอน) เย็น (ก่อนนอน) เป็นอย่างน้อย และหลังจากการแปรงฟันก่อนนอนให้พยายามทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันอีกครั้ง เพื่อให้เศษอาหารที่เรารับประทานทั้งวันที่ติดตามซอกต่างๆของฟันที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ ให้ออกมาไม่เกิดการสะสมของเชื้อโรคต่างๆ

ซึ่งโดยปกติแล้วการครอบฟันนั้นจะมีอายุการใช้งานนานประมาณ 15 ปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ที่ทำการครอบฟันด้วย หากดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะสามารถอยู่ได้เต็มอายุการใช้งาน แต่หากว่าท่านมีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดูแลสุขภาพฟัน แปรงฟันไม่ถูกวิธี ดูแลไม่สม่ำเสมอ รวมถึงชอบรับประทานของแข็ง เช่น ชอบเคี้ยวน้ำแข็ง หรือ ใช่ฟันเปิดผลิตภัณฑ์สินค้าต่างๆ เป็นต้น ก็อาจจะทำให้อายุการใช้งานลดน้อยลงตามวิธีการดูแลรักษานั่นเอง


การครอบฟันทำให้เกิดปัญหาใดได้บ้าง ?

– ช่องปากมีความรู้สึกแปลกๆ มีอาการเสียวฟัน

หลังจากที่ได้ทำการครอบฟันมาใหม่ๆ ทุกท่านจะเริ่มมีอาการเสียวฟันตามมาในระยะแรก เนื่องจากว่าฟันที่ทำการครอบมานั้นจะมีความรู้สึกที่ไวกว่าปกติ ยิ่งถ้าหากว่าฟันที่ครอบมายังคงมีประสาทฟันอยู่ก็อาจจะทำให้รู้สึกถึงความร้อนและความเย็นได้ วิธีแก้ไขก็คือการใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ที่มีอาการเสียวฟัน

– ที่ครอบฟันหลวม

ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับที่ครอบฟันหลวมนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้เนื่องจากในบางครั้งสิ่งที่ใช้ยึดเกาะที่ครอบฟันกับฟันถูกชะล้างออก ทำให้เกิดช่องว่าง ซึ่งช่องว่างนี้เองที่จะทำให้เศษอาหารหรือเชื้อโรคต่างๆเข้าไปสะสมได้ง่ายและทำความสะอาดได้ยากมาก หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือเข้าปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขโดยเร็วที่สุด

– ที่ครอบฟันแตก

หากว่าทำการครอบฟันโดยใช้พอร์สเลน มีโอกาสมากในการเกิดแตกร้าว แต่ก็สามารถซ่อมแซมได้ด้วยคอมโพสิตเรซิ่น แต่ถ้าหากว่ามีการแตกมากเกิดแก้ไข ทันตแพทย์จะแนะนำให้ทำการครอบฟันใหม่ทั้งหมด

– มีอาการแพ้

ต้องขอบอกว่าวัสดุที่ใช้ในการครอบฟันนั้นส่วนใหญ่มีส่วนผสมของโลหะ ซึ่งมีโอกาสสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วจากการสำรวจพบว่า มีผู้ที่เกิดอาการแพ้มีจำนวนที่น้อยมากที่เข้ามาพบทันตแพทย์

11
การเลือกใช้ท่อลมร้อน อย่างไรได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมกับอาคารของคุณ

การเลือกใช้ ท่อลมร้อน ให้ได้ทั้งความ คุ้มค่าและเหมาะสม กับอาคารของคุณนั้น เป็นการตัดสินใจที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านครับ ไม่ใช่แค่การมองหาของที่ถูกที่สุด แต่เป็นการลงทุนที่มองผลลัพธ์ในระยะยาว ทั้งประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา

นี่คือแนวทางในการเลือกใช้ท่อลมร้อนเพื่อให้ได้ความคุ้มค่าและเหมาะสมที่สุดสำหรับอาคารของคุณ:


1. ทำความเข้าใจ "ลมร้อน" และ "สภาพแวดล้อม" ของคุณอย่างถ่องแท้

ก่อนจะตัดสินใจเลือกท่อ ให้ตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ก่อน:

อุณหภูมิสูงสุดของลมร้อนคือเท่าไหร่? (สำคัญที่สุด)

ถ้าไม่เกิน 200-250°C: เหล็กชุบสังกะสี อาจเป็นตัวเลือกที่ประหยัดและเพียงพอ

ถ้า 250-500°C: ควรใช้ เหล็กกล้าคาร์บอน

ถ้าสูงกว่า 500°C หรือต้องการความทนทานเป็นพิเศษ: ต้องใช้ สเตนเลสสตีล

ลมร้อนมีอะไรปะปนมาบ้าง?

ฝุ่น/อนุภาคแข็ง: ต้องเลือกท่อที่ทนทานต่อการสึกหรอจากการเสียดสี และควรมีพื้นผิวภายในเรียบเพื่อลดการสะสม

ไขมัน/ไอน้ำมัน: พบมากในครัวอุตสาหกรรม สเตนเลสสตีล มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะทำความสะอาดง่ายและไม่เป็นเชื้อเพลิงสะสม

สารเคมีกัดกร่อน (กรด/ด่าง): ต้องเลือกวัสดุที่ทนทานต่อสารเคมีนั้น ๆ โดยเฉพาะ เช่น สเตนเลสสตีลเกรดพิเศษ (เช่น 316L) หรือ FRP (สำหรับอุณหภูมิไม่สูงมาก)

ท่อจะติดตั้งในร่มหรือกลางแจ้ง?

กลางแจ้ง: ต้องพิจารณาความทนทานต่อสภาพอากาศ แสงแดด และความชื้น

มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ติดตั้งหรือไม่?

ถ้าพื้นที่จำกัดมาก อาจต้องพิจารณา ท่อสี่เหลี่ยม แม้ประสิทธิภาพการไหลอาจลดลงบ้าง


2. พิจารณา "ประสิทธิภาพ" ที่ต้องการ

ปริมาณลมที่ต้องการดูด/จ่าย: ต้องคำนวณปริมาตรลม (CFM หรือ CMH) ที่ระบบต้องการลำเลียง เพื่อกำหนดขนาดท่อที่เหมาะสม หากท่อเล็กไปจะสิ้นเปลืองพลังงาน หากใหญ่ไปก็จะสิ้นเปลืองพื้นที่และค่าใช้จ่าย

ความเร็วลมที่เหมาะสม:

ถ้ามีฝุ่น/อนุภาค: ต้องใช้ความเร็วลมที่เพียงพอเพื่อพัดพาสิ่งเหล่านี้ออกไป ไม่ให้ตกตะกอนในท่อ

ถ้าไม่มีฝุ่น: สามารถใช้ความเร็วลมที่เหมาะสมเพื่อลดเสียงรบกวนและลดการสิ้นเปลืองพลังงาน

แรงดัน/แรงต้านทานการไหล: การเลือกขนาดและรูปแบบท่อ (ท่อกลมมีแรงต้านทานน้อยกว่าท่อสี่เหลี่ยม) มีผลต่อแรงดันที่พัดลมต้องสร้าง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานของพัดลม


3. คำนวณ "ต้นทุน" ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

ต้นทุนเริ่มต้น (Initial Cost):

ราคาวัสดุ: วัสดุแต่ละชนิดมีราคาต่างกันมาก (เช่น เหล็กชุบสังกะสีถูกสุด, สเตนเลสสตีลแพงสุด)

ค่าติดตั้ง: ท่อบางชนิดติดตั้งยากกว่า ต้องใช้ช่างฝีมือเฉพาะทาง หรืออุปกรณ์พิเศษ

ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (Life Cycle Cost):

ค่าพลังงาน: ระบบที่ออกแบบและติดตั้งดี จะมีแรงต้านทานต่ำ พัดลมทำงานน้อยลง ประหยัดพลังงาน

ค่าบำรุงรักษา: ท่อที่ทำความสะอาดง่าย (เช่น พื้นผิวเรียบ) และทนทาน จะมีค่าบำรุงรักษาและซ่อมแซมน้อยกว่า

อายุการใช้งาน: การลงทุนกับวัสดุที่เหมาะสมในตอนแรก อาจทำให้ท่อมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น 2-3 เท่า ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนระบบใหม่


4. อย่าลืม "ความปลอดภัย" และ "ข้อกำหนด"

การทนไฟ: โดยเฉพาะในระบบดูดควันครัว หรือบริเวณที่มีความเสี่ยงเพลิงไหม้ ควรใช้วัสดุที่ไม่ติดไฟ (เช่น สเตนเลสสตีล) และพิจารณาติดตั้งอุปกรณ์กันไฟ (Fire Dampers)

การหุ้มฉนวน: สำหรับท่อลมร้อน ควรหุ้มฉนวนเสมอ เพื่อ:

ป้องกันการถูกลวก: ลดอุณหภูมิผิวท่อ

ประหยัดพลังงาน: ลดการสูญเสียความร้อน

การรองรับการขยายตัว: ท่อโลหะจะขยายตัวเมื่อร้อน ต้องมีการติดตั้ง ข้อต่ออ่อน (Expansion Joints) เพื่อป้องกันการเสียหายของท่อ

มาตรฐานและกฎหมาย: ตรวจสอบว่ามีมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือกฎหมายความปลอดภัยใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งท่อลมร้อนในอาคารของคุณ

สรุปการตัดสินใจ:
การเลือกใช้ท่อลมร้อนที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่การประหยัดเงินในวันนี้ แต่คือการลงทุนที่ชาญฉลาดเพื่อให้ได้ระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และคุ้มค่าในระยะยาวสำหรับอาคารของคุณครับ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทท่อ หรือการออกแบบ ถามได้เลยนะครับ!

12
บริหารจัดการอาคาร: เทคนิคการดูฝ้าเพดานบ้าน

“บ้าน” นอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยและเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนยามเหนื่อยล้าหลังจากทำงาน ยังเป็นสถานที่ที่ทุกคนในบ้านอยู่แล้วสบายใจที่สุด หากบ้านเกิดการชำรุด เสื่อมโทรมลง ต้องทำการบำรุงรักษาให้กลับมาน่าอยู่อีกครั้ง เพราะบ้านเป็นหัวใจสำคัญของการพักผ่อนที่มีคุณภาพ ถ้าเราดูแลรักษาบ้านให้แข็งแรงอยู่เสมอ บ้านก็จะสวย ดูดี คงทนนาน สามารถยืดเวลาการพักอาศัยไปได้อีกหลายปีเลยทีเดียว

ดังนั้น เราควรหมั่นตรวจสอบสภาพของบ้านโดยรวม หากมีอะไรที่เสียหายหรือทรุดโทรม ควรรีบทำการบำรุงรักษา เพื่อให้บ้านกลับมาสวย ดูดี และมีความแข็งแรงอยู่เสมอ โครงสร้างบ้านของเราประกอบไปด้วยหลายส่วนไม่ว่าจะเป็นผนัง หลังคา ฝ้าเพดาน และอื่นๆอีกมากมายที่เราจะต้องคอยดูให้มีความแข็งแรงอยู่เสมอ เพราะถ้าหากเกิดการชำรุด แน่นอนว่าจะทำให้เราเจอปัญหาได้ จากปัญหาเล็กๆ

อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในที่สุด ซึ่งวันนี้ทางเรามีเคล็ดลับเกี่ยวกับการดูแลฝ้าเพดานมาฝาก ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ทำความสะอาดได้ยาก เนื่องจากมีความสูง ซึ่งเราอาจจะไม่ได้ดูแลอะไรมากนัก แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคมากมาย หากไม่ดูแลทำความสะอาดอาจจะส่งผลต่อสุขภาพของคนในบ้านได้

ฝ้าเพดาน เป็นส่วนที่หลายคนมักมองข้ามในการทำความสะอาดและบำรุงรักษา  ฝ้าเพดานเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก เชื้อโรค และฝุ่นจำนวนมาก  ซึ่งสิ่งสกปรกเหล่านี้หากเราปล่อยปะละเลยเป็นเวลานาน จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งการดูแลฝ้า เราสามารถติดตั้งโครงคร่าวได้ การเลือกใช้โครงคร่าวและโครงฝ้าเพดาน เราจะต้องเลือกใช้วัสดุที่มีมาตรฐาน

หากอุปกรณ์ที่ติดตั้งไม่ได้มาตรฐานจะส่งผลให้ฝ้าเพดานแอ่น รับน้ำหนักนานไม่ไหวและมีอายุการใช้งานสั้น อาจะทำให้เกิดช่องโหวได้ง่าย หรือตะใช้วิธีการติดตั้งช่องเซอร์วิส เนื่องจากการถอดฝ้าเพดานออกมาซ่อมแซมและบำรุงรักษาระบบที่อยู่ด้านบนนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ควรติดตั้งช่องเซอร์วิส ซึ่งเป็นช่องที่ช่วยให้เราสามารถขึ้นไปตรวจตรา และซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นด้านบนฝ้าเพดานได้สะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การเลือกใช้แผ่นฝ้า ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าหากมีเชื้อราหรือคราบสกปรกที่เช็ดไม่ออกบนฝ้าเพดาน ก็จะสามารถทำความสะอาดได้ง่าย เช่น เฝ้าที-บาร์ เราสามารถเปลี่ยนได้เลย หรือถ้าเป็นฝ้าเพดานแบบฉาบเรียบ เราสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้ โดยใช้มีดคัตเตอร์กรีดฝ้าตรงส่วนที่สกปรกนั้นออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม

 เว้นตรงส่วนโครงฝ้าเพดานไว้ แล้วตัดแผ่นยิปซัมแผ่นใหม่ให้มีขนาดเท่ากันปิดเข้าไป ใช้เทปปิดรอย หรือยิงสกรูติดฝ้าเพดานไว้แล้วทาสีทับอีกที แต่ต้องอย่าลืมว่า การทาสีฝ้าใหม่นั้น อาจไม่ตรงกับสีเดิม เนื่องจากความเก่าตามอายุการใช้งานของสี ดังนั้น หากพื้นที่ฝ้าเพดานนั้นไม่มากนัก ควรทาสีฝ้าเพดานบริเวณนั้นใหม่ทั้งหมดเพื่อคงความสวยงาม และจะช่วยปกปิดรอยซ่อมแซม

 เมื่อซ่อมแซมเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนจะทำการปิดฝ้าเพดาน ควรต้องตรวจตราสิ่งต่างๆที่อยู่ด้านบนฝ้าเพดานให้เรียบร้อยก่อน ทั้งสายไฟ ท่อน้ำ และระบบอื่นๆ ควรอยู่อย่างเป็นระเบียบ จะได้ไม่เป็นปัญหาหากต้องซ่อมแซมฝ้าเพดานอีกในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม การทำความสะอาดบ้านในส่วนของฝ้าเพดานค่อนข้างลำบากพอสมควร  ฃสามารถเลือกใช้ฝ้าเพดานให้เหมาะสมกับบ้าน การทำความสะอาดก็ไม่ใช้เรื่องยากมากมายอะไรอีกต่อไป ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดฝ้าเพดานเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ก็ทำให้บ้านของเราสวยงามน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

 หากใครสนใจที่จะบำรุงรักษาอาคารบ้านเรือน เราเพราะมีผู้เชี่ยวชาญด้านทำความสะอาดในด้านต่าง ๆ และสามารถออกแบบรูปแบบงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และเรายังมีบริการทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง บริการตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ กำจัดแมลง รวมถึงบริการพ่นฆ่าเชื้อ เรียกได้ว่ามาที่เดียว สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร และเป็นมืออาชีพอย่างแน่นอน

13
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


14
โรความดันโลหิตสูง: สาเหตุและภาวะแทรกซ้อน

ทุกๆคนต้องมีความดันโลหิต เพราะความดันโลหิตจะเป็นแรงผลักดันให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนั้นทุกคนควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับความดันโลหิต และรักษาให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดหลอดแข็งและตีบ

เมื่อหัวใจบีบตัวหัวใจจะบีบเลือดไปยังหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดความดันโลหิตซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจ และแรงต้านทานของหลอดเลือด หัวใจคนเราเต้น 60-80 ครั้ง ความดันก็จะเพิ่มขณะที่หัวใจบีบตัว และลดลงขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราไม่เท่ากันตลอดเวลาขึ้นกับท่า ความเครียด การออกกำลังกาย การนอนหลับ ค่าความดันโลหิตปกติของคนเรา คือ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่ไม่ควรเกิน 140/90 หากสูงกว่านี้แสดงว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคอัมพาต โรคหัวใจเป็นโรคที่มีอัตราตายสูง ดังนั้นการป้องกันความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันอัตราการตายจากโรคหัวใจ และโรคอัมพาต โรคความดันโลหิตสูงเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตของทุกท่านเนื่องจากไม่มีอาการเตือน ดังนั้น การจะทราบว่าเป็นความดันโลหิตสูงจำเป็นต้องวัดความดันโลหิต
โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงจะเพิ่มความเสี่ยงของท่านในการเกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการเตือนผู้ป่วยหลายรายมาด้วยโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจโต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

เมื่อไรจึงจะเรียกว่าความดันโลหิตสูง

คนปกติจะมีความดันโลหิต 120/80 มิลลิเมตรปรอท หากความดันโลหิตตัวบนมากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท หรือ ความโลหิตตัวล่างเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท จะเรียกว่า ความดันโลหิตสูง สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตระหว่าง121/81-139/89 มิลลิเมตรปรอท ยังไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูงแต่มีโอกาศที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคตซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

เมื่อท่านตรวจพบความดันโลหิตสูงถ้าไม่สูงมากอาจจะไม่จำเป็นต้องรับประทานยา แต่หากสูงมากก็จำเป็นต้องรับประทานยา ตารางข้างล่างจะเป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วย
สาเหตุการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

    ส่วนมากมักพบได้ในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอายุตั้งแต่ 40 – 50 ปีขึ้นไป
    พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังหมดประจำเดือนพบได้บ่อย
    พบมากในคนอ้วน แต่ในคนผอมก็พบบ้างเหมือนกัน
    อาจเนื่องจากกรรมพันธุ์ประมาณ 30-40%
    บุคคลที่มีอารมณ์รุนแรง เคร่งเครียด ตื่นเต้น ตกใจง่าย ดีใจ เสียใจ อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจจะกระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้นชั่วคราวใน ตอนแรก แล้วจะค่อยลดลง แต่ถ้าเกิดป่วยและนานเข้า ความดันโลหิตก็จะสูงอย่างถาวร ซึ่งถ้าสูงมากก็เป็นอันตรายได้

ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องโรคความดันโลหิตสูง มักจะถูกแพทย์สั่งให้รับประทานอาหารจำกัดเกลือ และอาหารไทยเป็นอาหารที่รสออกเค็ม ทั้งในด้านการปรุง และการถนอมอาหาร การจำกัดเกลือทำให้อาหารมีรสจืดชืดมาก เป็นเหตุให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการขาดอาหารได้ ถ้าต้องจำกัดอยู่นาน เพราะฉะนั้นการปรุงอาหาร ควรใช้เครื่องปรุงชนิดอื่นเข้าช่วย เช่น น้ำตาล, น้ำส้ม, น้ำมะนาว, น้ำมะขาม, เครื่องเทศ พืชบางอย่าง เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนและอันตรายจากความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่เรื้อรังรักษาไม่หายขาดผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ จะทำให้หลอดเลือดแดงตีบแข็ง การไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ ซึ่งส่งผลให้เกิดอันตรายกับ

ผลกระทบโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูงจะเพิ่มความเสี่ยงของท่านในการเกิดโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันโลหิตสูงอาจไม่มีอาการเตือน ผู้ป่วยหลายรายมาด้วยโรคแทรกซ้อน เช่นโรคหัวใจโต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่

    สมอง เมื่อความดันโลหิตสูงมาก อาจจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบตันหรือ แตกได้ง่ายกว่าคนปกติ
    หัวใจ ความดันโลหิตสูง หัวใจต้องทำงานหนัก อาจทำให้หัวใจวายได้
    ไต ความดันโลหิตสูง การทำหน้าที่ของไตจะค่อยๆ เสื่อมลง ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง
    ตา ความดันโลหิตสูงจะเกิดภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงภายในลูกตาอย่างช้าๆ ประสาทตาเสื่อม ตามัวลง เรื่อยๆ จนอาจทำให้ตาบอดได้

วิธีห่างไกลโรคความดันโลหิตสูง

ไม่ว่าคุณจะมีเชื้อชาติอะไร เพศ อายุเท่าใด คุณสามารถป้องกันความดันโลหิตสูง หรือการรักษาความดันโลหิตสูงโดยที่ไม่ต้องใช้ยาโดยวิธีการดังต่อไปนี้ที่เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการรักษาความดันโลหิตสูงโดยไม่ต้องใช้ยาหรือที่เรียกว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    เลือกอาหารมี่มีเกลือต่ำ
    ให้ลดปริมาณแอลกอฮอล์ให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
    งดบุหรี่ เป็นวิธีการที่ได้ผลดีในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
    จัดการเรื่องความเครียด
    รับประทานอาหารที่มีคุณภาพโดยการลดอาหารเค็ม ลดอาหารมันเพิ่มผักผลไม้โดยการรับประทานอาหารลดความดันโลหิต
    ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่เพราะมียาบางตัวทำให้เกิดความดันโลหิตสูง
    การจะใช้ยาคุมกำเนิดต้องปรึกษาแพทย์

หลักการดังกล่าวสามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงได้ ที่สำคัญคือ ต้องงดบุหรี่

ทำไมต้องรักษาความดันโลหิตสูง

เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการ แต่โรคความดันโลหิตสูงสามารถทำให้เกิดโรคแก่ร่างกาย เช่น ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักอาจจะทำให้เกิดโรคหัวใจวาย โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งของโรคอัมพาต และยังเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ผู้ที่ไม่ได้รักษาความดันโลหิตสูงจะมีผลดังนี้

ผลกระทบต่อสมอง

    มีโอกาสเกิดโรคอัมพาตเพิ่มขึ้น 7 เท่า
    โอกาสเกิดเลือดออกในสมองเพิ่ม
    โอกาสเกิดสมองขาดเลือดเพิ่ม

ผลกระทบต่อหัวใจ

    โอกาสเกิดโรคหัวใจวายเพิ่มขึ้น 6 เท่า
    มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเพิ่มขึ้น 3 เท่า

ผลกระทบต่อไต
    เพิ่มความเสี่ยงการเกิดไตเสื่อม

ผลกระทบต่อเส้นเลือด
    เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง

15
หมอออนไลน์: โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)

ธาตุเหล็ก* เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งของการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะสร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดภาวะเลือดจาง** เรียกว่า โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก

โรคนี้พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของภาวะโลหิตจางในบ้านเรา พบได้ในคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก วัยรุ่น หญิงในวัยมีประจำเดือน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และพบมากในชาวชนบทและคนยากจน

*ธาตุเหล็กนอกจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดงแล้ว ยังมีหน้าที่กระตุ้นการเจริญของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้าขาดธาตุเหล็กนอกจากทำให้โลหิตจางแล้ว เซลล์ต่อมรับรสที่ลิ้นและเล็บจะสร้างได้น้อย ทำให้ลิ้นเลี่ยน เบื่ออาหาร และเล็บอ่อนตัว

**ไขกระดูกมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งต้องมีสารอาหาร ได้แก่ โปรตีนและธาตุเหล็กเป็นวัตถุดิบในการสร้างสารฮีโมโกลบิน (ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย) โดยมีกรดโฟลิก วิตามินบี 12 และฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin ซึ่งสร้างที่ไต) เป็นองค์ประกอบในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง หากมีความบกพร่องเพียงองค์ประกอบอันใดอันหนึ่ง เช่น ไขกระดูกไม่ทำงาน ไตวาย (สร้างอีริโทรพอยเอทินไม่ได้) ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้น้อย ขาดธาตุเหล็ก กรดโฟลิก วิตามินบี 12 หรือโปรตีน ก็จะทำให้สร้างเม็ดเลือดแดงไม่ได้ หรือได้น้อยกว่าปกติ เกิดภาวะโลหิตจางได้ ซึ่งมีลักษณะและชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามสาเหตุ

สาเหตุ

1. เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่น กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต) นม ไข่น้อยเกินไป (อาหารเหล่านี้มีธาตุเหล็กมาก ซึ่งลำไส้สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าธาตุเหล็กที่อยู่ในพืชผัก) จึงทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก

ผู้ที่เบื่ออาหารจากการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคอื่น ๆ หรือผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยหรือไม่ครบส่วน หรือผู้ที่กินอาหารพวกเนื้อ นม ไข่น้อย (ซึ่งธาตุเหล็กในเนื้อ นม ไข่ ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดีกว่าธาตุเหล็กในพืชผัก) ร่างกายก็อาจได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป

ผู้ที่บริโภคอาหารมังสวิรัติหรือแม็กโครไบโอติกส์ (macrobiotics) อย่างเคร่งครัดและไม่ถูกหลักโภชนาการ คือกินแต่พืชผักเป็นหลัก ก็อาจขาดธาตุเหล็กได้ เนื่องจากธาตุเหล็กในพืชผักถูกลำไส้ดูดซึมเข้าร่างกายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากินพร้อมข้าวซึ่งมีสารไฟเทต (phytate) ที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

นอกจากนี้ เด็กในวัย 2 ขวบแรกและเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงกำลังเจริญเติบโต รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ (ซึ่งมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติ เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์) ถ้าไม่ได้กินธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ก็มักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้

2. การเสียธาตุเหล็กออกไปกับเลือด เช่น มีประจำเดือนออกมาก (พบได้บ่อยในหญิงวัยรุ่นและวัยเจริญพันธุ์) เลือดออกทางช่องคลอด (เนื่องจากแท้งบุตร คลอดบุตร หรือมะเร็งมดลูกหรือปากมดลูก) เลือดออกจากกระเพาะอาหาร (เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ เป็นแผลหรือมะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งมีอาการถ่ายอุจจาระดำแบบเรื้อรัง) เลือดออกจากลำไส้ใหญ่หรือทวารหนัก (เช่น เป็นริดสีดวงทวาร หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดแดงสดแบบเรื้อรัง) หรือเป็นโรคพยาธิปากขอ (ซึ่งดูดเลือดจากลำไส้) เป็นต้น ก็อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มึนงง หน้ามืด เวียนศีรษะ และมักมีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย (ยิ่งเบื่ออาหาร ก็ยิ่งทำให้ขาดธาตุเหล็กและทำให้ภาวะโลหิตจางยิ่งรุนแรงขึ้น)

ผู้ป่วยอาจมีประวัติเบื่ออาหาร ไม่กินเนื้อสัตว์ นมและไข่ หรือมีการเสียเลือดเรื้อรัง (เช่น มีประจำเดือนออกมาก ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือเป็นเลือดแดงสด)

ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง นอกจากทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ทำงานได้ไม่เต็มที่ ลดความสามารถในการเรียนรู้

อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอ เฉื่อยชา ภูมิคุ้มกันต่ำ (เกิดโรคติดเชื้อง่าย) ถ้าเกิดการเจ็บป่วยหรือมีบาดแผล ก็มักจะฟื้นหายได้ช้า

ในหญิงตั้งครรภ์ อาจทำให้คลอดก่อนกำหนด และทารกน้ำหนักน้อย

ในเด็กเล็ก ทำให้มีการเติบโตและพัฒนาการช้า

ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม ถ้าหากมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้โรคหัวใจขาดเลือด มีอาการกำเริบ หรือทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ตรวจพบอาการซีดขาวของใบหน้า เยื่อบุเปลือกตา ริมฝีปาก ลิ้น ฝ่ามือ และเล็บ

ถ้าเป็นเรื้อรังอาจมีอาการลิ้นมันเลี่ยน มุมปากเปื่อย เล็บมีลักษณะอ่อนและแบน หรือเล็บเงยขึ้นมีแอ่งตรงกลางคล้ายช้อน เรียกว่า เล็บรูปช้อน หรือคอยโลนีเคีย (koilonychia)

ในรายที่มีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย ซึ่งมักไม่มีอาการ การตรวจร่างกายจะไม่พบภาวะซีดชัดเจน มักจะตรวจภาวะโลหิตจางพบจากการตรวจเลือด (เช่น ขณะแพทย์ทำการตรวจเช็กสุขภาพด้วยสาเหตุอื่น)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด พบระดับฮีโมโกลบิน (hemoglobin) น้อยกว่า 12 กรัม/ดล. (ในผู้หญิง) น้อยกว่า 13 กรัม/ดล. (ในผู้ชาย) เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็ก (microcytosis) ติดสีจาง (hypochromia) มีหลากขนาด (anisocytosis) มีหลากรูป (poikilocytosis)

และตรวจพบระดับเฟอร์ริทิน (ferritin ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีธาตุเหล็กและสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ) ในเลือดต่ำ สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกของภาวะขาดธาตุเหล็ก หรือก่อนมีอาการปรากฏชัดเจน

การรักษาโดยแพทย์

1. สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติเป็นโรคเลือด (ธาลัสซีเมีย) ไม่มีประวัติการเสียเลือดเรื้อรัง (เช่น ถ่ายอุจจาระดำ หรือเป็นเลือดสด) และการเจ็บป่วยอื่น ๆ แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาบำรุงโลหิต เช่น เฟอร์รัสซัลเฟต หรือเฟอร์รัสฟูมาเรต ครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ พอเริ่มดีขึ้นผู้ป่วยจะกินข้าวได้ดีขึ้น (เบื่ออาหารน้อยลง) หน้าตามีเลือดฝาดดีขึ้น (ซีดน้อยลง) มีเรี่ยวแรงมากขึ้น และผลการตรวจเลือดดีขึ้น จะให้ยาต่ออีก 1-2 เดือน จนระดับฮีโมโกลบินขึ้นสู่ปกติหรือหายจากภาวะโลหิตจาง หลังจากนั้นควรกินยานี้วันละ 1-2 เม็ด ต่อไปอีก 3-6 เดือน เพื่อสะสมธาตุเหล็กในร่างกายให้เพียงพอ

ในบางรายแพทย์อาจให้กินวิตามินซี หรือแนะนำให้กินน้ำส้มคั้นหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย เนื่องด้วยวิตามินซีช่วยเสริมให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

2. ถ้าให้ยาบำรุงโลหิต 2 สัปดาห์แล้ว ภาวะโลหิตจางไม่ทุเลาหรือกลับแย่ลง หรือได้ประวัติเพิ่มเติมว่ามีการเสียเลือดเรื้อรัง สงสัยว่าเป็นโรคพยาธิปากขอ หรือสงสัยมีสาเหตุที่ร้ายแรงอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ (เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ ตรวจมดลูก เอกซเรย์ ส่องกล้องตรวจทางเดินอาหาร เป็นต้น) และให้การรักษาตามสาเหตุ เช่น โรคแผลเพ็ปติก ริดสีดวงทวาร โรคพยาธิปากขอ เนื้องอกมดลูก โรคดียูบี เป็นต้น

3. สำหรับผู้ที่เบื่ออาหารจากการเจ็บป่วยเรื้อรังด้วยโรคอื่น ๆ ผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อยหรือไม่ครบส่วน หรือผู้ที่กินอาหารพวกเนื้อ นม ไข่น้อย หากตรวจพบว่ามีภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก แพทย์ก็จะให้ผู้ป่วยกินยาบำรุงโลหิตแบบเดียวกับข้อ 1 ร่วมกับการดูแลรักษาโรคเรื้อรัง (ถ้ามี)

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากภาวะโลหิตจางได้ดี แต่ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุ หลังหยุดยาสักพักก็กลับมีอาการกำเริบได้ใหม่

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้าตาซีดกว่าปกติ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาบำรุงโลหิตแล้วมีผลข้างเคียง เช่น ปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น แพทย์จะเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดน้ำเชื่อมซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดเม็ด
    กินยาบำรุงโลหิต 2 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา
    มีประวัติเสียเลือด เช่น ถ่ายอุจจาระดำ (ตั้งแต่ก่อนกินยาบำรุงโลหิต) หรือถ่ายเป็นเลือดสด ซึ่งไม่ได้แจ้งให้แพทย์ทราบตั้งแต่แรก (ผู้ป่วยอาจไม่ได้สังเกตเห็นแต่แรก หรือคิดว่าไม่สำคัญ หรืออายที่จะบอกให้ญาติและหมอทราบ)
    หากแพทย์ให้ยาอื่น (นอกเหนือจากยาบำรุงโลหิต) กินแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

โรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กสามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก (เช่น เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู ไตหมู นม ไข่) และกินน้ำส้มคั้นหรือผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง (เช่น ส้ม ฝรั่ง มะขามป้อม มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี มะขามเปรี้ยว) ให้มาก ๆ ซึ่งจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีประจำเดือนออกมากทุกเดือน ทารก และวัยรุ่น ควรบำรุงอาหารเหล่านี้ให้มาก หรือกินยาบำรุงโลหิตตามคำแนะนำของแพทย์

สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีภาวะซีดขณะมีประจำเดือนออกมาก ควรให้กินยาบำรุงโลหิตวันละ 2-3 เม็ด ในช่วงที่มีประจำเดือน นานประมาณ 1 สัปดาห์

สำหรับผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ หากกินนมและไข่ได้ควรกินนมและไข่ให้มากพอ ส่วนผู้ที่ไม่กินนมและไข่ ควรกินพืชผักที่มีธาตุเหล็กสูง (เช่น ผักใบเขียว ถั่วเหลือง งา ลูกเกด เป็นต้น) และวิตามินซีให้มาก ๆ และควรตรวจเช็กเลือดดูว่ามีระดับฮีโมโกลบินปกติหรือไม่ ถ้าต่ำกว่าปกติ ควรปรับการบริโภคชนิดของอาหารให้เหมาะสม และควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้กินยาธาตุเหล็กเสริม

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการซีด (โลหิตจาง) นอกจากมีสาเหตุมาจากการขาดธาตุเหล็ก ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไขกระดูกฝ่อ ไตวายเรื้อรัง เป็นต้น (ตรวจอาการ "ซีด")

2. ผู้ที่มีภาวะขาดธาตุเหล็กระยะเริ่มแรก หรือมีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย (มีค่าฮีโมโกลบินต่ำกว่าค่าปกติเล็กน้อย) อาจไม่มีอาการผิดปกติ และตรวจไม่พบอาการซีดชัดเจนก็ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจาง เช่น ผู้ที่กินอาหารที่มีธาตุเหล็กน้อย (เช่น กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัด ผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์ นม และไข่) วัยรุ่น วัยสาว หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ แม้จะรู้สึกสบายดี ก็ควรได้รับการตรวจเช็กระดับฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อค้นหาภาวะโลหิตจางระยะเริ่มแรก

3. ผู้ที่มีโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก เมื่อกินยาบำรุงโลหิต (ที่มีธาตุเหล็ก) มักจะมีอาการดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าไม่ทุเลาหรือกลับแย่ลง จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม อาจมีภาวะขาดธาตุเหล็กจากการเสียเลือดจากสาเหตุต่าง ๆ หรือมีสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่เกี่ยวกับการขาดธาตุเหล็ก เช่น ธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไตวายเรื้อรัง (พบในคนที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตเรื้อรัง การกินยาแก้ปวดหรือยาแก้ข้ออักเสบนาน ๆ) เป็นต้น

4. ยาบำรุงโลหิต ซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้มีอาการปวดมวนท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ท้องผูก ควรกินยานี้หลังอาหารทันที ถ้ามีอาการข้างเคียงดังกล่าว แพทย์แนะนำให้กินยาธาตุเหล็กชนิดน้ำเชื่อม ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าชนิดเม็ด

ยานี้ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ (เนื่องมาจากสีของธาตุเหล็ก) ซึ่งไม่ถือว่าเป็นภาวะผิดปกติหรือมีอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด

ที่สำคัญ ยานี้ห้ามใช้สำหรับผู้ที่มีโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย (ซึ่งมีอาการเรื้อรังมาตั้งแต่เล็ก) เพราะในร่างกายมีธาตุเหล็กเกิน (เนื่องจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างผิดปกติ ด้วยอัตราที่เร็วกว่าคนปกติ ทำให้มีธาตุเหล็กออกมามากจนร่างกายขับออกไม่ทัน) การกินยาบำรุงโลหิตทำให้ร่างกายสะสมธาตุเหล็กเป็นพิษต่อร่างกายมากขึ้นได้

หน้า: [1] 2 3 ... 56