แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
การขายอาหารสร้างรายได้ทำเองออนไลน์ วิธีจัดครัวที่ถูกสุขอนามัยให้ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยของอาหาร

การขายอาหารทำเองทางออนไลน์เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมด้วยความสะดวกสบายของแพลตฟอร์มจัดส่งและการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้หลายคนหันมาใช้ทักษะการทำอาหารให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ทันทีจากที่บ้าน ก่อนเริ่มต้นธุรกิจอาหาร สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ขายอาหารที่บ้านทุกคนต้องคำนึงถึงคือสุขอนามัยในครัวและมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารการรักษาความสะอาด

การขายอาหารออนไลน์ที่บ้านจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดเตรียมครัวให้ถูกสุขลักษณะตามมาตรฐานการทำอาหารเพื่อจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องความเป็นระเบียบเรียบร้อย และปลอดภัยในครัวไม่เพียงแต่เป็นข้อกำหนดทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าและรับประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของคุณอีกด้วย

1. เหตุใดสุขอนามัยจึงมีความสำคัญต่อธุรกิจอาหารออนไลน์
เมื่อเตรียมอาหารที่บ้านเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ อาหารนั้นต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยเช่นเดียวกับครัวของร้านอาหาร อาหารที่ปนเปื้อนหรือจัดการอย่างไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษและทำลายชื่อเสียงของธุรกิจ การรักษาสุขอนามัยแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและการใส่ใจสุขภาพของลูกค้า ซึ่งเป็นสองสิ่งที่ช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

2. การออกแบบพื้นที่ห้องครัวที่สะอาดและมีประสิทธิภาพ
ห้องครัวที่ใช้ขายอาหารควรได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงทั้งความสะอาดและขั้นตอนการทำงาน ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้
การแบ่งโซน:แบ่งพื้นที่สำหรับการเตรียมอาหารดิบ การปรุงอาหาร และการบรรจุอย่างชัดเจน ช่วยป้องกันการปนเปื้อนข้ามระหว่างอาหารดิบและอาหารปรุงสุก
การระบายอากาศและแสงสว่างที่เพียงพอ:ติดตั้งระบบระบายอากาศที่เหมาะสมเพื่อกำจัดควันและความชื้นจากการปรุงอาหาร แสงสว่างที่ดีจะช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งสกปรกและมั่นใจได้ว่าอาหารจะถูกปรุงในสภาพแวดล้อมที่สะอาด
พื้นผิวทำความสะอาดง่าย:เลือกเคาน์เตอร์สแตนเลสหรือเซรามิกที่ทนทานต่อแบคทีเรียและทำความสะอาดได้ง่าย หลีกเลี่ยงวัสดุที่มีรูพรุน เช่น ไม้ที่ไม่ได้รับการเคลือบ ซึ่งอาจกักเก็บความชื้นและเชื้อโรคได้

3. การรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร
เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยของอาหารทั่วไป ผู้ขายอาหารที่บ้านทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติดังต่อไปนี้:

สุขอนามัยส่วนบุคคล:ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร สวมผ้ากันเปื้อนที่สะอาด และมัดผมให้เรียบร้อย ขอแนะนำให้สวมถุงมือและหน้ากากอนามัยขณะสัมผัสอาหาร

การจัดเก็บส่วนผสม:เก็บส่วนผสมไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทและติดฉลากระบุวันหมดอายุ แยกเก็บส่วนผสมแห้งและส่วนผสมเปียกไว้ต่างหากเพื่อรักษาความสด

การควบคุมอุณหภูมิ:ใช้ตู้เย็นและช่องแช่แข็งเพื่อจัดเก็บอาหารที่เน่าเสียง่าย อาหารปรุงสุกควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิที่เหมาะสมจนกว่าจะส่งมอบเพื่อป้องกันการเน่าเสีย

การทำความสะอาดเป็นประจำ:ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ครัว เขียง และอุปกรณ์ต่างๆ หลังการใช้งานทุกครั้ง ทำความสะอาดพื้นและเคาน์เตอร์ทุกวันเพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย

4. การจัดการขยะอย่างเหมาะสม
ขยะอาหารและวัสดุบรรจุภัณฑ์อาจสะสมอย่างรวดเร็วในครัวที่วุ่นวาย ควรจัดถังขยะที่มีฝาปิดสนิท และแยกขยะอินทรีย์ออกจากขยะทั่วไป ทิ้งขยะทุกวันเพื่อป้องกันกลิ่น แมลง และการปนเปื้อน

5. อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับครัวอาหารที่ปลอดภัย
การลงทุนในเครื่องมือครัวคุณภาพช่วยให้มั่นใจได้ทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รายการที่แนะนำประกอบด้วย:
ภาชนะจัดเก็บเกรดอาหาร
เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับตรวจสอบอุณหภูมิในการปรุงอาหารและการแช่เย็น
เขียงแยกสำหรับเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารปรุงสุก
น้ำยาล้างจานและน้ำยาฆ่าเชื้อคุณภาพสูง
หมวกคลุมผม ถุงมือ และผ้ากันเปื้อนสำหรับป้องกันร่างกาย

6. การปฏิบัติตามกฎระเบียบความปลอดภัยด้านอาหารในท้องถิ่น
หากคุณวางแผนที่จะขายอาหารออนไลน์ในปริมาณมาก ควรตรวจสอบกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อขอใบอนุญาตหรือการตรวจสอบที่จำเป็น ในประเทศไทยกรมอนามัยและสำนักงานเทศบาลท้องถิ่นได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับธุรกิจอาหารที่บ้าน ซึ่งรวมถึงมาตรฐานการจัดครัว บรรจุภัณฑ์ และฉลาก การปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณและปกป้องผู้บริโภค

7. การสร้างความไว้วางใจของลูกค้าผ่านความโปร่งใส
ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส คุณสามารถนำเสนอห้องครัวที่สะอาดและเป็นระเบียบของคุณผ่านภาพถ่ายหรือวิดีโอสั้นๆ บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเป็นการตลาดฟรีสำหรับธุรกิจของคุณอีกด้วย ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและใส่ใจในสุขอนามัย

8. ประโยชน์ของห้องครัวที่ถูกสุขอนามัยสำหรับธุรกิจของคุณ
การดูแลรักษาห้องครัวให้เป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัยจะมีประโยชน์ในระยะยาวหลายประการ ดังนี้:
เพิ่มคุณภาพและความสม่ำเสมอของผลิตภัณฑ์
ลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนและการเจ็บป่วยจากอาหาร
เพิ่มความมั่นใจและการซื้อซ้ำของลูกค้า
ช่วยให้การทำความสะอาดและบำรุงรักษาประจำวันเป็นเรื่องง่าย
เป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐบาล

การเริ่มต้นธุรกิจอาหารออนไลน์จากที่บ้านนั้นให้ทั้งผลตอบแทนและผลกำไร แต่ความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับความปลอดภัยและสุขอนามัยของอาหารเป็นหลัก ห้องครัวที่สะอาดและมีโครงสร้างที่ดีสะท้อนถึงหัวใจสำคัญของแบรนด์ และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับสุขภาพของพวกเขามากพอๆ กับสูตรอาหารของคุณ การปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่เหมาะสม การลงทุนในอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยจะช่วยให้ห้องครัวที่บ้านของคุณกลายเป็นพื้นที่ทำงานที่เป็นมืออาชีพและเชื่อถือได้ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันของการขายอาหารออนไลน์

2
ประโยชน์ของการจัดฟันเด็ก

หลายคนคงเคยกังวลในเรื่องของปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน เพราะนอกจากจะเป็นปัญหาทางด้านสุขภาพในร่างกายของเราแล้ว ยังทำให้ขาดความมั่นใจในรอยยิ้มและบุคลิกภาพของตัวเองอีกด้วย เนื่องจากมีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันห่าง หน้าอูม ทำให้ต้องยิ้มแบบเหนียมอาย ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน ถือว่าเป็นการช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพของผู้ป่วยได้เป็นอย่างมาก และเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตประจำวัน

สำหรับปัญหาเกี่ยวกับการสบฟัน ทำให้กัดฟันแล้วชนเหงือก ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เป็นผลให้รับประทานอาหารได้ไม่สะดวก บดเคี้ยวอาหารก็ไม่ละเอียด บางรายกัดเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ขาด เป็นที่มาของโรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่นกระเพาะอาหารอักเสบ หรือกรดไหลย้อน ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย ในบางกรณีการจัดฟันยังช่วยในเรื่องของการปรับโครงสร้างของใบหน้าในเด็กได้อีกด้วย เพราะการจัดฟันสามารถช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของใบหน้าของเด็กได้ เพราะเด็กยังมีโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกรที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ การจัดฟันก็จะช่วยในเรื่องของการปรับโครงหน้าได้ และส่งผลต่อการขึ้นใหม่ของฟันแท้อีกด้วย

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนยังมองว่า ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะเนื่องจากเด็กบางคนมีความผิดปกติของฟันมาตั้งแต่เล็กๆ เด็กบางคนมีขนาดขากรรไกรเล็ก ไม่สมดุลกับจำนวนซี่ฟัน จนทำให้ฟันซ้อน เด็กบางคนขากรรไกรยื่น ฟันสบคร่อม ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้ สาเหตุใหญ่จะเกิดจากกรรมพันธุ์ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน รวมไปถึงการที่เด็กมีพฤติกรรมต่างๆ เช่น การที่เด็กติดดูดนิ้ว อาจไม่มีผลเสียหายอะไร หากยังอยู่ในช่วงเด็กเล็ก แต่ถ้าหากเด็กยังติดการดูดนิ้ว ไปจนถึงอายุ 5-6 ปี

ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันแท้เริ่มขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุทำให้ฟันหน้าอยู่ผิดตำแหน่ง ทำให้เกิดการสบฟันที่ผิดปกติขั้นรุนแรงได้ สำหรับการสบฟันที่มีความผิดปกติในเด็กนั้น สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมและสภาพฟันของเด็ก โดยจะมีอาการคือ ฟันซ้อน ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันหน้ายื่น ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไป หรือหลุดช้าเกินไป หรือต้องเสียฟันน้ำนมแบบไม่ปกติ ฟันสบลึก หรือฟันสบคร่อม ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน เด็กยังติดการดูดนิ้วจนอายุเกิน 5 ปี สามารถกัดหรือบดเคี้ยวอาหารลำบาก และชอบหายใจทางปาก นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เด็กอาจจะมีความผิดปกติของฟัน และควรที่เข้ารับการจัดฟัน แม้การจัดฟันแบบเบื้องต้นในเด็ก อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน หากในช่วงอายุ 7-10 ปี และหากพบสัญญาณของความผิดปกติ ก็จะได้รีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่น อาจแก้ไขได้ เพราะเป็นช่วงที่กระดูกขากรรไกรกำลังเจริญเติบโตนั่นเอง

สำหรับประโยชน์ของการจัดฟันในเด็ก นอกเหนือจะทำให้เด็กมีรอยยิ้มที่สวยงาม สดใสสมวัยแล้ว ยังทำให้เด็กมีความมั่นใจ เพราะการจัดฟันในเด็กยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ เมื่อเด็กมีฟันที่เรียงสวยงามเป็นธรรมชาติ ไม่ซ้อนเก เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น ทำความสะอาดได้ดีขึ้น ซึ่งเรื่องความสะอาดในช่องปาก ถือเป็นเรื่องสุขอนามัยเบื้องต้นที่จะอยู่กับเด็กไปตลอดชีวิต

นอกจากนั้นทันตแพทย์ผู้ทำการจัดฟัน อาจมีส่วนช่วยหาทางบรรเทา ภาวะหยุดหายใจขณะหลับในเด็กได้ด้วย สามารถช่วยบำบัดพฤติกรรมเด็กที่ติดการดูดนิ้ว ซึ่งสามารถสร้างผลเสียหาย ต่อการสบฟันในอนาคต ช่วยวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการออกเสียง การหายใจ และการบดเคี้ยวอาหารของเด็กได้เป็นอน่างดี สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง ท่านใดสนใจ จะพาบุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้จากทางคลินิกได้ ทางเรามีบริการจัดฟันในเด็ก โดยทันตแพทย์ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีรอยยิ้มที่สดใส สมวัยอย่างแน่นอน

3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer)

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดของมะเร็งในผู้หญิงไทย พบมากในช่วงอายุ 35-60 ปี แต่ก็อาจพบในคนอายุน้อย (เช่น 20 ปี) ก็ได้

มะเร็งชนิดนี้สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและรักษาให้หายขาดได้

สาเหตุ

สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคนี้ มีความสัมพันธ์กับการอักเสบเรื้อรังของปากมดลูกจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus/HPV) ชนิด 16 และ 18 (ซึ่งยังเป็นปัจจัยของการเกิดมะเร็งช่องปากและองคชาตอีกด้วย แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับเอชพีวี ชนิดที่ 6 และ 11 ที่ทำให้เกิดหูดและหงอนไก่) เชื้อนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งพบมากในช่วงอายุ 20-40 ปี สามารถตรวจเช็กพร้อมกับการตรวจแพ็ปสเมียร์ พบว่าการติดเชื้อเอชพีวีมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุต่ำกว่า 17 ปี, มีคู่นอนหรือสามีหลายคน หรือมีสามีที่มีความสำส่อนทางเพศ, มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ (เช่น เอชไอวี เชื้อคลามีเดีย เริม ซิฟิลิส หนองใน เป็นต้น), ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกัน)

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เสริมให้เป็นมะเร็งปากมดลูก เช่น การสูบบุหรี่ การกินยาเม็ดคุมกำเนิดนานกว่า 5 ปีขึ้นไป การมีบุตรหลายคน การกินผักและผลไม้น้อย น้ำหนักเกิน การมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว เป็นต้น

อาการ

ระยะแรกเริ่ม จะไม่มีอาการแสดง (สามารถตรวจพบโดยการตรวจแพ็ปสเมียร์) เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น จะพบว่ามีอาการเลือดออกจากช่องคลอด (บางรายเข้าใจว่ามีประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย) หรือมีเลือดออกภายหลังการร่วมเพศ บางรายอาจมีอาการตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีเลือดปน หรือตกขาวปริมาณมาก

ผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน อาจสังเกตว่าหลังจากหมดประจำเดือนไปนาน 6 เดือนหรือเป็นปี กลับมีประจำเดือนมาใหม่ แต่ออกมากและนานกว่าปกติ

ระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง ก้นกบ หรือต้นขา ปัสสาวะเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด ขาบวม เกิดภาวะไตวาย เนื่องจากทางเดินปัสสาวะอุดกั้นจากก้อนมะเร็ง


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดภาวะซีด (จากอาการเลือดออกทางช่องคลอดเรื้อรัง), เจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์

มะเร็งมักลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของอวัยวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะ (ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด), ทวารหนัก (ถ่ายอุจจาระลำบาก ถ่ายเป็นเลือด), มีปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ดรั่วออกทางช่องคลอด, ลำไส้ (ลำไส้อุดกั้น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด), ในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)

การวินิจฉัย

แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ หรือการตรวจกรองโรคก่อนมีอาการ โดยการขูดเซลล์เยื่อบุปากมดลูกนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ดังที่เรียกว่าแพ็ปสเมียร์ (Pap smear)

หากสงสัยก็จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการใช้กล้องส่องตรวจปากมดลูก (colposcopy) และตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์,เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด อาจให้รังสีบำบัด (ฉายรังสี ใส่แร่เรเดียม) และ/หรือเคมีบำบัดร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของมะเร็งและระยะของโรค

ผลการรักษา หากพบระยะแรก ๆ การรักษามักจะได้ผลดี หรือหายขาดได้เป็นส่วนใหญ่ มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ถึงร้อยละ 60-95 ถ้าพบระยะ 3 และ 4 การรักษาอาจช่วยให้มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี ประมาณร้อยละ 20-50

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดไปจากเลือดประจำเดือน, มีเลือดออกภายหลังการร่วมเพศ, มีอาการตกขาวมีเลือดปนหรือมีกลิ่นเหม็น เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เสรีหรือไม่ปลอดภัย ส่วนการใส่ถุงยางอนามัยอาจป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ ถ้ามีรอยโรคอยู่นอกบริเวณที่ถุงยางครอบคลุมได้
    ไม่สูบบุหรี่
    รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
    ตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะแรก (แพ็ปสเมียร์) เป็นประจำ หากพบว่าเซลล์ปากมดลูกเริ่มมีความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง (precancerous) จะได้ให้การรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็ง และหากพบว่าเริ่มเป็นมะเร็งระยะแรก (ก่อนมีอาการ) ก็จะได้ให้การรักษาให้หายขาดได้
    ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV vaccine) ซึ่งจะเริ่มฉีดให้เด็กหญิงตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป (ควรฉีดก่อนที่จะแต่งงานหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศ จึงจะได้ประสิทธิผลดี) โดยฉีด 3 เข็ม เข็มที่ 2 และ 3 ห่างจากเข็มแรก 2 และ 6 เดือนตามลำดับ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อเอชพีวี (พบประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้) ข้อเสียคือ วัคซีนยังมีราคาแพง และไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ 100%

ข้อแนะนำ

1. มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบระยะแรก (ก่อนปรากฏอาการ) และรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่มีสุขภาพเป็นปกติดี ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจกรองหามะเร็งระยะแรก ดังนี้

    ควรเริ่มตรวจตั้งแต่หลังแต่งงานหรือเริ่มมีเพศสัมพันธ์ได้ 3 ปี หรือเมื่ออายุได้ 30 ปีขึ้นไป โดยการตรวจด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์ (Pap smear) ทุก 3 ปี (หรือวิธี VIA ทุก 5 ปี จนถึงอายุ 55 ปีขึ้นไปควรตรวจด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์แทนทุก 3 ปี) แต่ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น ติดเชื้อเอชไอวี สูบบุหรี่ กินยาเม็ดคุมกำเนิด ควรตรวจทุกปี
    ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หากเคยมีผลการตรวจเป็นปกติติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง (และไม่เคยมีผลการตรวจที่ผิดปกติเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปี) ก็สามารถหยุดการตรวจแพ็ปสเมียร์ได้ แต่ถ้าเคยเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน หรือมีปัจจัยเสี่ยงก็ควรจะได้รับการตรวจต่อไปตราบเท่าที่ยังแข็งแรง
    ผู้หญิงที่เคยผ่าตัดมดลูกและปากมดลูกออกทั้งหมดโดยไม่มีสาเหตุจากมะเร็ง สามารถหยุดการตรวจแพ็ปสเมียร์ได้ แต่ถ้าผ่าตัดมดลูกเพียงบางส่วนและยังคงปากมดลูกไว้ ก็ควรรับการตรวจแพ็ปสเมียร์แบบผู้หญิงทั่วไปดังกล่าวข้างต้น

2. ผู้หญิงที่มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือตกขาวผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

4
ทำไม รถหกล้อรับจ้างอุดรธานี ถึงมีสภาพใหม่ตลอดเวลา เขามีวิธีดูแลอย่างไร

ทุกคนเคยสงสัยกันไหม รถรับจ้างขนของอุดรธานี ที่รับส่งของทุกที่ทั่วไทย ไม่ว่าจะขนย้ายบ้าน ขนย้ายเครื่องครัว ขนย้ายของใช้อุดรธานี หรือขนย้ายของทุกประเภท รถรับจ้างที่ฝ่าฟันไปกับสิ่งต่างๆไม่ว่าจะจอดอยู่กับความร้อนที่มาก เจอมรสุมที่เยอะ ทำไมยังใหม่และสะอาดและเครื่องยังดีอยู่ เขามีอะไรดี พอจะบอกได้ไหม เพื่อจะนำไปปรับใช้กับรถบ้านอย่างเรา

แน่นอนว่ารถรับจ้างขนของจอดอยู่กับที่30วันก็วิ่งแทบไม่หยุดจะเอาเวลาไหนมาดู ต้องบอกเลยนะค่ะว่า รถรับจ้างที่เราทำการรับจ้างขนของเราฝ่าฟันทุกช่วงสถานการณ์ เขาคือเครื่องมือทำมาหากินของเรา เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องดูลเขาอย่าดี คอยใส่ใจเขา เหมือนกับคนคนหนึ่งเลย

รถมีการบรรทุกหนัก ราว 1.5ตัน-2ตัน บ้างก็บรรทุกเบาคือขนย้ายของทั่วไป แต่การดูแลรักษาคือกวาด เช็ด ทำวามสะอาด คอยตรวจดูเครื่อง ทุกครั้งอย่างสม่ำเสมอ


รวมผลงานรถรับจ้าง
หาก ไม่มีเวลาจริงๆ ก็ต้องใช้สเปรย์ชนิดล้างรถแล้วเชดออก ก็สามารถช่วยบรรเทาให้รถเราขาวสะอาดและดูดีได้ แต่น้ำยานั้น ก็บอกเลยว่า เขาถนอนเรื่องสีรถไม่ต้องกังวลว่าสีรถเราจะเกิดปัญหาอะไร สามารถป้องกันแสงแดดได้ดี

เมื่อเรามีรถบ้าน รถเก๋ง รถปิ๊กอัพอุดรธานี เรามีเวลาที่จะดูแลมากกว่า รถรับจ้างซึ่งเราต้องให้เวลาในการดูแลรักษารถไม่เกิน 15นาที รถของราก็สภาพดี พร้อมใช้งาน ดูแลเบื้องต้นให้ดี ถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันก็ต้องไป ไม่ผัดวันประกันพรุ้ง ถือว่าดี เข้าศูนย์เช็คผ้าเบรก 

ในเรื่องของรถไม่มี่อะไรมากแค่หาเวลาใส่ใน 15นาที รถของเราก็จะดีและทนทานต่อการใช้งานได้นานค่ะ เราทีมงานขนย้ายคุณภาพ ก็มารดูแลรักษารถให้ใหม่ สะอาด สภาพพร้อมใช้งานสม่ำเสมอ เพราะการขนย้ายลูกค้าก็ต้องการรถใหม่ สะอาด รวมทั้งให้บริการที่ดี

เพื่อให้เกิดความประทับใจมากสุด พร้อมทั้ง การขนย้ายในทุกครั้งไม่ว่าลูกค้าจะขนย้าย ไซต์งานก่อสร้าง หรือขนย้ายนั่งร้าน ขนย้ายเหล็ก ที่เป็นของหนัก หรือขนย้าย กล่องพัสดุ ขนย้ายมอเตอร์ไซต์ ขนย้ายจักรยาน ขนย้ายที่นอน ขนย้ายเตียงผู้ป่วย ขนย้ายร้าน ทางเราก็มีการรับประกันสินค้าตลอดการขนย้าย

เพียงแค่ลูกค้าลองได้ใช้บริการ รถรับจ้างราคาถูกอุดรธานี รถขนของอุดรธานี รถกระบะรับจ้าง และรถหกล้อรับจ้างขนของกับเรา เราจะดูแลงานขนย้ายให้ดีที่สุด รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน การให้บริการของเราก็มุ่งเน้นการส่งที่สำเร็จลูกค้าพอใจ และการเสนอราคาที่เป็นกันเอง รับขนของย้ายของทุกพื้นที่ รถรับจ้างใกล้บ้านคุณ เรียกใช้รถรับจ้างเร่งด่วนทันใจได้ 24ชั่วโมง


ผลงานรับจ้างขนของขนส่ง

24ชั่วโมงของการที่จะเสนอราคา 24ชั่วมองของการให้บริการรถรับจ้าง ลูกค้าอยากขนย้ายช่วงเวลาไหนแจ้งมาได้เลยนะค่ะ เราเต็มที่กับการขนย้าย

ถ้ากรณีคนยกไม่มี ขอแค่แจ้งเรา เรามีคนยกของ คนยกสินค้า รถรับจ้างพร้อมคนยกอุดรธานี แจ้งก่อนเลย หรือต้องการอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มอีก ก็แจ้งได้ ไม่มีคนถอดประกอด ให้ลูกค้าแจ้งว่าของทีจะให้ถอดเป็นอะไรบ้าง ทางเราจะได้จัดเตรียมเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการขนย้าย

สนใจจะใช้บริการ รถรับจ้างขนของ ย้ายของอุดรธานี เราเต็มที่กับงานขนย้าย พร้อมที่จะขนย้ายทุกเวลา ถ้าไม่ทราบว่าของแต่ละประเภทต้องใช้รถประเภทไหนในการขนย้าย สามารถโทรเข้ามาสอบถามหรือให้เราวางแผนการขนย้ายตลอดจนช่วยลูกค้าตัดสินใจได้รวดเร็วว่าต้องการใช้ รถกระบะรับจ้าง 6ล้อรับจ้าง เฮี๊ยบรับจ้าง หรือรถสิบล้อรับจ้างนั่นเองค่ะ เพื่อให้ตอบโจทย์สินค้าและเหมาะสมต่อการขนย้ายของ


5
ช่วงอายุที่เหมาะสมในการจัดฟันเด็ก

ช่วงอายุที่เหมาะสมในการจัดฟันเด็กจะขึ้นอยู่กับ ปัญหาของฟันและขากรรไกร ของเด็กเป็นหลักค่ะ โดยทันตแพทย์จัดฟันส่วนใหญ่จะแนะนำให้เริ่มการตรวจประเมินตั้งแต่ช่วงที่เด็กกำลังมีการเจริญเติบโต ดังนี้:


1. การตรวจประเมินเบื้องต้น (Initial Assessment)

ช่วงอายุ: 7 ขวบ (หรือเร็วกว่านั้น หากมีปัญหาชัดเจน)

เหตุผล: เป็นช่วงที่ฟันแท้ชุดแรกเริ่มขึ้น (ฟันกรามแท้และฟันหน้าแท้) ทันตแพทย์จะสามารถประเมินการเจริญเติบโตของขากรรไกรและตำแหน่งการขึ้นของฟันแท้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ


2. การจัดฟันระยะที่ 1 (Phase 1 Orthodontics: การแก้ไขเบื้องต้น)

ช่วงอายุ: 6 – 10 ปี (ช่วง "ฟันผสม" คือมีฟันน้ำนมและฟันแท้ปนกัน)

วัตถุประสงค์: แก้ไขปัญหาโครงสร้างที่มีความรุนแรงและส่งผลต่อการเจริญเติบโตของใบหน้าโดยรวม ซึ่งหากปล่อยไว้จะแก้ไขได้ยากเมื่อเด็กโตขึ้น

ปัญหาที่ควรจัดฟันในระยะนี้ทันที:

ฟันล่างคร่อมฟันบน (Crossbite): หรืออาการคางยื่น ควรแก้ไขโดยเร็วที่สุด เพราะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกร

ฟันหน้ายื่นมาก (Severe Overjet): มีความเสี่ยงสูงที่ฟันจะได้รับอุบัติเหตุ

ฟันซ้อนเก/ฟันห่างมากผิดปกติ: ป้องกันไม่ให้ปัญหาแย่ลงและสร้างพื้นที่ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมีตำแหน่งที่เหมาะสม

พฤติกรรมผิดปกติ: เช่น การดูดนิ้ว การหายใจทางปาก ที่ส่งผลให้การเรียงตัวของฟันผิดรูป


3. การจัดฟันระยะที่ 2 (Phase 2 Orthodontics: การจัดเรียงฟัน)

ช่วงอายุ: 12 – 13 ปี ขึ้นไป (ช่วงที่ฟันแท้ขึ้นครบแล้ว)

วัตถุประสงค์: จัดเรียงฟันแท้ทั้งหมดให้สบกันอย่างสมบูรณ์เพื่อสร้างรอยยิ้มที่สวยงามและการทำงานของการบดเคี้ยวที่มีประสิทธิภาพ


ข้อสรุป:

การพาบุตรหลานไปพบทันตแพทย์จัดฟันครั้งแรกในช่วงอายุ 7 ขวบ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ เพราะหากมีปัญหาโครงสร้างขากรรไกร การเริ่มรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโต (ก่อนอายุ 10 ขวบ) จะทำให้การรักษาง่ายขึ้นมาก และอาจช่วยลดความจำเป็นในการถอนฟันหรือผ่าตัดขากรรไกรเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ

6
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


7
รถรับจ้างขนของ จังหวัดระยอง พร้อมคนยก ราคาประหยัด รับจ้างขนของ 4-6-10 เฮียบรับจ้างทั่วไทย

ขนส่ง ผู้ให้บริการ รถรับจ้างขนของจังหวัดระยอง ให้บริการรับจ้างขนของตลอด 24 ชั่วโมง โดยทีมงานรถรับจ้าง ตั้งแต่ รถกระบะรับจ้างระยอง  รถหกล้อรับจ้างระยอง บริการรถ 2 ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นงาน ขนย้ายบ้าน ขนย้ายของ ย้ายหอพัก รถเฮี๊ยบรับจ้างจังหวัดระยอง ให้บริการยกของชิ้นใหญ่ เครื่องจักร วัสดุก่อสร้าง รถสิบล้อรับจ้างจังหวัดระยอง ส่วนใหญ่จะเป็นงานขนย้ายวัตถุดิบทางการเกษตร และขนย้ายบ้าน ทั่วไป ระยองเป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม และยังมีผลไม้ ที่หลากหลายชนิด ทำให้มีผู้คนมากมายสนใจเข้ามาเที่ยวในจังหวัดนี้ การบริการที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นงาน ขนย้ายบ้าน ขนย้ายผลไม้ พืชไร่ ขนส่งสินค้า เครื่องจักร ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ หรือ รับจ้างขนย้ายทั่วไป สำหรับท่านที่เดินทางมาจังหวัดระยอง บางครั้งก็ เข้ามาซื้อสินค้าอาหารทะเลส่งไปจำหน่ายหรือมาซื้อสินค้าของฝาก หรือมาทำธุรกิจด้านแปรรูปหรืองานบริการ 


เราก็เป็นอีกรายที่เปิดให้บริการรับจ้างขนของ กว่า 15 ปีแล้ว แต่ก่อนเราเริ่มจากการเป็น ลูกค้า เพราะในช่วงตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ได้ใช้บริการ รถรับจ้าง ขนย้ายหอพักกลับไปอยู่บ้าน เรารู้สึกว่า งานบริการที่ได้รับในตอนนั้น ยังไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการที่เราเรียนจบในตอนนั้นไม่รู้จะไปทำงานอะไรดี จึงคิดไอเดียออกมาว่า ระยองเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว และมีการคมนาคมขนส่งขนย้ายสินค้า จากนิคมอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ย้ายหอพัก ย้ายบ้าน หรือพนักงานเปลี่ยนย้ายงาน เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ จึงคิดกับตัวเองว่า เราต้องสร้างธุรกิจอะไรสักอย่าง ที่เกี่ยวกับ โลจิสติกส์ และธุรกิจนี้จะต้องเป็นธุรกิจที่ดีและมีคุณภาพ เราควรที่จะบริหารงานให้ดีที่สุดจะไม่ให้เหมือนกับตอนที่เราเคยใช้บริการจากที่อื่น จึงเริ่มจากการรถคันแรกคือ รถกระบะรับจ้างระยอง 1คันก่อน และขับเองบริหารยกของสินค้าให้กับลูกค้าด้วยตัวเอง จนมาได้สักระยะ ลูกค้าก็เริ่มรู้จักมากขึ้น และมีการเรียกร้องรถรับจ้างประเภทอื่นๆเข้ามามากขึ้นจึงเริ่มซื้อรถคันที่2 แล้วก้เป็น 4 คันจนขณะนี้เรามีรถให้บริการที่ครบทุกอย่าง เพิ่มขึ้นมาเป็น รถหกล้อรับจ้างระยอง รถเฮี๊ยบรับจ้างอ รถสิบล้อรับจ้างระยอง รถเทรลเลอร์รับจ้างระยอง ทำให้เรานะเวลานี้มี รถรับจ้างจังหวัดระยอง ที่บริหารงานอย่างครบวงจร

รถรับจ้างของเรามีชื่อเสียงไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของคุณภาพงานอย่างเดียว  ยังให้ราคาที่ถูกอีกด้วย จึงไม่แปลกใจที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเราใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวอะไรว่า ถูกและดีจริง เรามีความภูมิใจมาก ที่เป็นส่วนหนึ่งในการ ขนย้ายสินค้าให้กับท่านด้วยดีเสมอมา หากท่านต้องการใช้บริการสามารถโทรศัพท์ติดต่อมาได้โดยง่าย


พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ขอบคุณที่ใช้บริการเรา เราสัญญาว่าจะดูแลสินค้า ของทำให้ดีที่สุด

รถรับจ้างขนของ จังหวัดระยอง มีจุดบริการประจำอำเภอต่างๆดังนี้

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอแกลง

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอเมืองระยอง

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอเขาชะเมา

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอนิคมพัฒนา

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอบ้านค่าย

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอปลวกแดง

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอวังจันทร์

รถรับจ้างขนของ ขนย้ายบ้าน ขนส่งทั่วไป 4-6-10 เฮียบรับจ้างอำเภอบ้านฉาง

บริการคนยกสินค้าในราคาถูกด้วยนะครับ เพราะเรารู้ดีว่าลูกค้าบางรายไม่มีคนช่วยยกสินค้า จึงไม่สามารถที่จะขนย้ายได้ด้วยตัวเอง เราจึงจัดเตรียมคนยกสินค้าไว้คอยบริการท่าน และเป็นทีมงานที่มีความเก่งและชำนาญมาก และมั่นใจได้เลยว่าสินค้าของท่านจะปลอดภัย ไม่เสียหายอย่างแน่นอน และต้องแจ้งเราให้ทราบก่อนวันขนย้ายด้วยนะครับว่าจะใช้คนยกสินค้าจำนวนกี่คน สุดท้ายนี้ รถรับจ้างขนของจังหวัดระยอง ต้องขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านด้วยนะครับที่ไว้ใจเรา ไม่ว่าท่านจะ ขนย้ายบ้าน ย้ายหอ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ส่งสินค้าการเกษตรทั่วไป เรายินดีให้บริการ รับจ้างขนของ ท่านตลอด 24 ชม นะครับ ขอบคุณครับ

8
ซ่อมบำรุงอาคาร: แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์เลือกอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเราเครื่องปรับอากาศหรือแอร์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีสมาชิกในบ้านที่ขี้ร้อนด้วย เครื่องปรับอากาศ ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป้นเป็นอย่างมาก และคงจะต้องทำงานหนักตลอดทั้งวัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยก็คือการดูแลรักษาเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอ

เพื่อให้อยู่ทนอยู่นานให้คุณได้ใช้ประโยชน์ในระยะยาว จะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนใหม่อยู่บ่อย ๆ ซึ่งในปัจจุบัน แอร์อินเวอร์เตอร์ ก็เป็นระบบเครื่องปรับอากาศที่ยังคงมาแรง และแทบทุกบ้านในปัจจุบันนิยมติดตั้งเพื่อให้ความเย็นภายในบ้าน ซึ่งมีจุดเด่นคือ มอเตอร์ทำงานเงียบ เย็นเร็ว ประหยัดพลังงานด้วย เป็นระบบมอเตอร์กระแสตรง หรือคอมเพรสเซอร์แบบสวิง ไม่มีช่องว่างระหว่างแกนหมุน

ทำให้ลดแรงเสียดทานขณะหมุนได้ จึงช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างเต็มที่ เพราะคอมเพรสเซอร์สตาร์ทครั้งเดียวและจะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีลดรอบการทำงาน เมื่ออุณหภูมิคงที่ รอบคอมเพรสเซอร์จะต่ำ ส่งผลให้เสียงเงียบ และไม่มีเสียงสตาร์ทของตัวมอเตอร์ระหว่างการทำงาน แล้วเราจะเลือกแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์อย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้เราได้ประหยัดพลังงานมากที่สุด วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกใช้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
 
 
ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจเกี่ยวกับความแตกต่างของระบบแอร์อินเวอร์เตอร์กับแอร์แบบทั่วไปก่อนว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งความแตกต่างของ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ และแอร์ทั่วไปคือ การทำงานของ ระบบ Inverter เมื่อเริ่มเปิดแอร์ อุณหภูมิของแอร์จะค่อย ๆ ลดลง จนถึงระดับที่ตั้งไว้ แล้วตัวคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงาน เพื่อให้อุณหภูมิภายในห้องมีความคงที่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะแตกต่างจากแอร์ทั่วไป ที่เมื่อเปิดแอร์แล้ว อุณหภูมิของแอร์จะลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา และเมื่อใช้งานได้สักระยะ ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะตัดการทำงาน ส่งผลให้อุณภูมิค่อย ๆ ปรับระดับสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ประมาณ 1-2 องศา แล้วระบบคอมเพรสเซอร์จะเริ่มตัดอีกครั้ง

 
ซึ่งการที่คอมเพรสเซอร์แอร์ตัดอยู่ตลอดเวลานั้นส่งผลให้อุณหภูมิภายในห้องไม่คงที่นั่นเอง สำหรับเคล็ดลับการเลือกใช้แอร์อินเวอร์เตอร์ให้เหมาะสมก็คือ แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานตลอดเวลาที่ยาวนานและต่อเนื่องหลายชั่วโมง เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือต้องการห้องที่มีอุณหภูมิที่สม่ำเสมอและเงียบสงบ การใช้แอร์ที่ไม่มีอินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับห้องที่ไม่ต้องการความเย็นตลอดเวลา ประหยัด และมักนิยมใช้ขณะที่ต้องเข้ามาใช้ห้องเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในระยะยาวระบบอินเวอร์เตอร์


ย่อมมีผลดีกว่าระบบเดิมๆ อย่างมากเพราะเป็นระบบที่มีเสียงเงียบ มีประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิได้คงที่มากกว่า อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา การทำความสะอาดด้วย ไม่ใช่เป็นที่ระบบแต่เพียงอย่างเดียว ดังนั้น หากยังต้องการประหยัด ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ให้สิ้นเปลือง

ตราบใดที่ยังคงใช้งานแอร์ระบบเดิมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม แม้ว่า แอร์ อินเวอร์เตอร์จะมีข้อดีในการใช้งาน แต่ก็มีข้อเสียที่เราจะต้องศึกษาก่อนการเลือกซื้อ หรืออาจจะต้องปรึกษาช่างที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะด้วยระบบการทำงานภายในที่ซับซ้อน จึงทำให้แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ มีราคาที่สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป รวมถึงการดูแลบำรุงรักษาก็จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน

 
อย่างไรก็ตาม ทางเรา อยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ เรายังมีบริการระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ระบบการจัดการน้ำ ระบบปรับอากาศ และหมุนเวียนอากาศ งานบำรุงรักษาโครงสร้างอาคาร ระบบป้องกันเพลิง รวมไปถึงระบบสื่อสาร และกล้องวงจรปิด เพื่อให้ลูกค้าได้มีความสะดวกสบายในการบำรุงรักษาระบบต่างๆภายในอาคารบ้านเรือน มั่นใจได้เลยว่า บริการของเรานั้น ดำเนินงานโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างแน่นอน

9
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: เป็นลม (Syncope/Fainting)

คำว่า เป็นลม ในที่นี้หมายถึง อาการที่อยู่ ๆ ก็หมดสติทรุดลงกับพื้น ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นอยู่ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลับฟื้นคืนสติได้เองภายในเวลาอันสั้น ทั้งนี้ เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองน้อยลง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนชั่วขณะ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิตจากสาเหตุต่าง ๆ

ชาวบ้านนิยมเรียกอาการเป็นลมนี้ว่า "โรควูบ"

เป็นลมเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย และจะพบบ่อยขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ถ้าพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปีมักเป็นลมธรรมดา ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นต้นเหตุ และส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงครั้งเดียว จะไม่มีอาการเป็นลมกำเริบซ้ำอีก แต่ถ้าพบในวัยกลางคนและผู้สูงอายุก็อาจมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) ร่วมด้วย หรือเกิดจากสาเหตุที่รุนแรงได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะมีอาการเป็นลมซ้ำซากได้

โดยภาพรวม ผู้ที่มีอาการเป็นลมทั้งหมด (ทุกกลุ่มวัยและจากทุกสาเหตุ) อาจมีโอกาสเป็นลมซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30

สาเหตุ

อาการเป็นลมอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลาย ๆ สาเหตุร่วมกัน ดังต่อไปนี้

1. กลุ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความตึงตัวของหลอดเลือด (vascular tone) หรือปริมาตรเลือด (blood volume) ได้แก่

(1) เป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope หรือ neurocardiogenic syncope) พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของอาการเป็นลมทั้งหมดและเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง ซึ่งมีชื่อเรียกแต่เดิมว่า เป็นลมธรรมดา (common fainting) มักเกิดกับวัยหนุ่มสาว แต่ก็อาจพบได้ในทุกวัย ผู้ป่วยจะเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว มักเกิดอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน มักมีเหตุกระตุ้น เช่น อยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อนอบอ้าว หรืออยู่กลางแดดที่ร้อนจัด ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อดนอน หลังกินข้าวอิ่ม ลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ หรือยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ มีความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง มีความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจ กลัว หรือเสียใจอย่างกะทันหัน หรือเห็นเลือดแล้วรู้สึกกลัว ถูกเจาะเลือด เป็นต้น เป็นเหตุให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยา ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และหลอดเลือดที่เท้า 2 ข้างขยายตัว มีเลือดคั่งอยู่ที่เท้า ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง จึงมีเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลมล้มฟุบทันที

(2) เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง (situational syncope) ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาแบบเดียวกับข้อ (1) ทำให้มีอาการเป็นลมทันทีขณะมีกิริยานั้น ๆ ตัวอย่างเช่น

    ขณะไอหรือจามแรง ๆ มักพบในคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
    ขณะกลืนอาหาร มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับคอหอย หรือหลอดอาหาร
    ขณะถ่ายปัสสาวะ หลังจากมีปัสสาวะเต็มกระเพาะ (ปวดถ่ายสุด ๆ) พบบ่อยในผู้ชายที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด
    ขณะถ่ายอุจจาระ ในคนที่ท้องผูก หรือมีการเบ่งแรง ๆ
    ขณะหันคอ โกนหนวดด้วยเครื่องไฟฟ้า หรือใส่เสื้อรัดคอ พบในผู้สูงอายุที่มีความไวของคาโรติดไซนัส (carotid sinus hypersensitivity)

(3) เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน (postural syncope) ผู้ป่วยจะรู้สึกเป็นปกติดีขณะอยู่ในท่านอนราบ แต่เมื่อลุกขึ้นยืนจะมีความดันเลือดลดลง จนเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง ทำให้เกิดอาการหน้ามืด เป็นลมทันที มักพบในผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่ใช้ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยารักษาโรคหัวใจ หรือยาขับปัสสาวะ ผู้ที่มีภาวะตกเลือด (เช่น มีเลือดออก ถ่ายอุจจาระดำ ประจำเดือนออกมาก) หรือมีภาวะขาดน้ำ (เช่น ท้องเดิน อาเจียน มีไข้สูง ดื่มน้ำน้อย เหงื่อออกมากเนื่องจากออกกำลังกายหรืออยู่ในที่ ๆ อากาศร้อนอบอ้าว) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน"

2. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular disorders) ส่งผลให้หัวใจสูบฉีดไม่ได้เต็มที่ เลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคหัวใจ (cardiac syncope) อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

    หัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเต้นช้าหรือเร็ว หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ
    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    ภาวะหัวใจวาย
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy)
    โรคลิ้นหัวใจตีบ (aortic stenosis, mitral stenosis)
    เนื้องอกในหัวใจ (atrial myxoma)
    ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (aortic dissection) (ดู "โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง")
    ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (ดู "ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด") ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายตามมา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเป็นลม

3. กลุ่มที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disorders) เช่น หลอดเลือดสมองตีบตัน หรือแตก (ดู "โรคหลอดเลือดสมอง สมองขาดเลือดชั่วขณะ อัมพาตครึ่งซีก") ทำให้เซลล์สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เกิดอาการเป็นลม เรียกว่า เป็นลมจากโรคสมอง (neurologic syncope) สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ หลอดเลือดแดง vertebrovascular artery ขาดเลือด (vertebrovascular insufficiency) โรคไมเกรนที่มีการตีบของหลอดเลือดแดง basilary artery ชั่วขณะ

4. กลุ่มโรคที่หมดสติชั่วขณะคล้ายอาการเป็นลม มีอาการหมดสติที่ไม่เกี่ยวกับเซลล์สมองขาดเลือดแต่เกี่ยวกับสาเหตุอื่น เช่น

    อาการชัก เช่น โรคลมชัก ขณะชักจะมีอาการหมดสติชั่วขณะ
    ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งอาจมีอาการเป็นลมชั่วขณะ แล้วฟื้นสติได้เอง แต่บางคนก็หมดสติไปเลย มีสาเหตุจากการอดอาหารนาน หรือเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเกินขนาด ออกแรงมากเกิน หรือกินอาหารผิดเวลา หรือกินอาหารได้น้อย
    ภาวะซีด หรือโลหิตจางจากสาเหตุต่าง ๆ
    โรคทางจิตประสาท เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น อาจมีอาการเป็นลมแน่นิ่งชั่วขณะร่วมด้วย

5. กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ บางรายอาจมีอาการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ซึ่งพบประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลม

อาการ

เป็นลมธรรมดา มักมีอาการเป็นลมขณะอยู่ในท่ายืน คือ อยู่ดี ๆ รู้สึกใจหวิว แขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่ไหว ทรุดลงนอนกับพื้น ไม่รู้สึกตัวหรือหมดสติอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ฟื้นคืนสติได้เองภายในไม่กี่วินาทีถึง 1 นาทีเป็นส่วนใหญ่ (ส่วนน้อยอาจหมดสตินานเกิน 2 นาที) โดยร่างกายจะกลับเป็นปกติดีในเวลาไม่นาน บางรายอาจรู้สึกสับสน (แต่จะเป็นอยู่นานไม่เกิน 30 วินาที) อาจจำเหตุการณ์ช่วงที่เป็นลมล้มฟุบลงไม่ได้ และหลังจากฟื้นคืนสติ อาจรู้สึกอ่อนเพลียอยู่นานประมาณ 30 นาที

บางคนก่อนจะเป็นลมอาจมีอาการเตือนล่วงหน้า (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง ตาลาย มองเห็นภาพเป็นจุดสีดำหรือเทา หรือตามัวลง หูอื้อหรือมีเสียงดังในหู คลื่นไส้ เหงื่อออก ใจหวิว ใจสั่น หน้าซีด อ่อนแรง) อยู่นานเป็นวินาทีถึง 2-3 นาที แล้วก็เป็นลมฟุบ หมดสติ

เป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง มีอาการคล้ายกับอาการเป็นลมธรรมดา แต่จะมีสาเหตุกระตุ้นชัดเจน เช่น ไอ ขณะกลืนอาหาร เบ่งถ่าย หันคอ เป็นต้น

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน มีอาการหน้ามืดเป็นลมทันทีที่ลุกขึ้นยืน ในขณะที่อยู่ในท่านอนราบจะรู้สึกสบายดี อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้บ่อย อาจมีประวัติเป็นเบาหวานหรือโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือกินยาหรืออมยาใต้ลิ้นก่อนเป็นลม หรือมีภาวะขาดน้ำหรือเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ มีประจำเดือนออกมาก)

เป็นลมจากโรคหัวใจ พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ) หรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการใจสั่น เจ็บหน้าอก หรือหายใจหอบเหนื่อยร่วมด้วย บางรายอาจมีอาการเป็นลมขณะใช้แรง (เช่น ยกของหนัก ทำงานหนัก) หรือขณะออกกำลังกาย และอาจเป็นลมขณะอยู่ในท่านอน ท่านั่ง หรือท่ายืนก็ได้

เป็นลมจากโรคสมอง พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเรื้อรังหรือสูบบุหรี่ ก่อนเป็นลมหมดสติอาจมีอาการปวดศีรษะ บ้านหมุน เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้หรือไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ขณะเป็นลมหมดสติ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร หรือว่ายน้ำ เป็นอันตรายได้ หรืออาจล้มฟุบ หรือตกจากที่สูง ได้รับบาดเจ็บ เช่น บาดแผล กระดูกหัก ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น

สำหรับผู้ที่เป็นลมซึ่งพบว่ามีโรคประจำตัวร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมอง) ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่พบร่วมตามมาได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติโรคการเจ็บป่วย การใช้ยา เหตุการณ์ในช่วงที่เป็นลม (เช่น ก่อนจะเป็นลมกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน) สาเหตุที่กระตุ้นให้เป็นลม (เช่น อดนอน อดข้าว เห็นเลือด เหนื่อยล้า มีอาการเจ็บปวด มีเรื่องตื่นเต้น ตกใจ กลัว) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก อาจมีสิ่งตรวจพบ เช่น

เป็นลมธรรมดาและเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ขณะเป็นลมอาจตรวจพบอาการหน้าซีด มือเท้าเย็น มีเหงื่อออกเป็นเม็ดทั่วใบหน้าและลำตัว ชีพจรเต้นช้า (ต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที) รูม่านตาขยายเท่ากันทั้ง 2 ข้าง และหดลงทันทีเมื่อถูกแสง

เป็นลมจากความดันตกในท่ายืน การวัดความดันโลหิตในท่ายืน (หลังยืนขึ้น 2-5 นาที) เทียบกับท่านอน พบว่า ในท่ายืนความดันช่วงบนลดลง > 20 มม.ปรอท หรือความดันช่วงล่างลดลง > 10 มม.ปรอท หรือความดันช่วงบนในท่ายืน < 90 มม.ปรอท

ในรายที่มีปริมาตรเลือดลดลง (เช่น ขาดน้ำ เสียเลือด) ชีพจรในท่ายืนอาจเพิ่ม > 20 ครั้ง/นาที ผู้ป่วยอาจมีภาวะซีด หรือภาวะขาดน้ำ (เช่น ริมฝีปากแห้ง) ร่วมด้วย

เป็นลมจากโรคหัวใจ อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอ การตรวจฟังหัวใจอาจได้ยินเสียงฟู่ (murmur) บางรายอาจพบภาวะหัวใจวาย

เป็นลมจากโรคสมอง การใช้เครื่องฟังตรวจตรงหลอดเลือดแดงที่คออาจได้ยินเสียงฟู่ (carotid bruit) อาจพบอาการแขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง

ในหญิงตั้งครรภ์ หรือในรายที่สงสัยว่าผู้ป่วยมีโรคประจำตัว หรือมีอาการเป็นลมซ้ำซาก แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ดูภาวะซีด ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด อิเล็กโทรไลต์ในเลือด เป็นต้น) การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบตลอดเวลา 24 ชั่วโมง (holter monitor) การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

ในรายที่มีอาการเป็นลมซ้ำซากโดยหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน อาจทำการตรวจที่เรียกว่า "การทดสอบด้วยเตียงที่ปรับเอียง (tilt table test)" โดยทำการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของชีพจรและความดันโลหิต เมื่อจัดเตียงตรวจให้ผู้ป่วยยืนทำมุมในองศาต่าง ๆ การทดสอบนี้จะช่วยวินิจฉัยอาการเป็นลมจากหลอดเลือดและประสาทเวกัส (vasovagal syncope) รวมทั้งภาวะความดันตกในท่ายืน


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ดังนี้

1. ถ้าเป็นลมธรรมดา หากผู้ป่วยรู้สึกตัวดีแล้ว และตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการป้องกันและดูแลเบื้องต้นหากมีอาการกำเริบใหม่

สำหรับผู้ที่เป็นลมบ่อยโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน และมีผลต่อการดำเนินชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งตามความเหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย อาทิ ยากลุ่ม mineralocorticoid เช่น ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ยาหดหลอดเลือด (vasoconstrictor) เช่น ไมโดดรีน (midodrine), ยากลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitors เช่น ฟลูออกซีทิน หรือเซอร์ทราลีน (sertraline)

หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดใส่ตัวคุมจังหวะหัวใจ (pacemaker)

2. ถ้าเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ก็จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัสก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา

3. ถ้าเป็นลมจากความดันตกในท่ายืน ก็แก้ไขตามสาเหตุ เช่น ภาวะขาดน้ำหรือเสียเลือด ก็ให้น้ำเกลือหรือให้เลือด หากเกิดจากยาก็ปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม เป็นต้น

แนะนำให้ผู้ป่วยลุกขึ้นช้า ๆ จากท่านอนเป็นท่านั่ง แล้วจากท่านั่งจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน การขยับขาก่อนลุกขึ้นก็อาจทำให้เกิดอาการน้อยลง (เนื่องเพราะสามารถเพิ่มปริมาตรเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้) นอกจากนี้ การนอนศีรษะสูงหรือใช้ถุงรัดน่อง (compression stocking) ก็อาจมีส่วนช่วยลดอาการได้

ในรายที่มีอาการบ่อย ๆ แพทย์อาจพิจารณาให้ยา เช่น ยากลุ่ม mineralocorticoid-ฟลูโดรคอร์ติโซน (fludrocortisone), ไมโดดรีน (midodrine) (ดูเพิ่มเติมใน "ภาวะความดันตกในท่ายืน")

4. ถ้าเป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง อาจจำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อพิจารณาให้ยารักษาหรือผ่าตัดแก้ไข

สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วผิดปกติ แพทย์อาจผ่าตัดใส่อุปกรณ์คุมจังหวะหัวใจ ได้แก่ pacemaker สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นช้า, implantable cardioverter-defibrillator สำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็ว

ผู้ป่วยที่เป็นลมจากโรคหัวใจหรือโรคสมอง ควรได้รับการรักษาอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นอาจมีโอกาสตายหรือพิการได้

5. ถ้าเป็นลมจากโรคทางจิตประสาท (เช่น โรคกังวล โรคซึมเศร้า กลุ่มอาการระบายลมหายใจเกิน เป็นต้น) หรือสาเหตุอื่น (เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะซีด โรคลมชัก ไมเกรน เป็นต้น) ก็จะให้การรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติที่พบ


การดูแลตนเอง

หากพบผู้ป่วยมีอาการเป็นลม ควรทำการปฐมพยาบาล

ผู้ป่วยแม้ว่าจะฟื้นสติได้เอง และมีความรู้สึกตัวเป็นปกติดีแล้ว ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ทุกราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ) หรือกินยารักษาโรคอยู่ประจำ สงสัยมีภาวะผิดปกติของร่างกาย ผู้ที่เคยเป็นลมมาก่อนหรือรู้สึกคล้ายจะเป็นลมอีก หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย (เช่น ชัก เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด กลืนลำบาก เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง เจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ชีพจรเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซีด ถ่ายอุจจาระดำ มีเลือดออก ปวดศีรษะมาก ปวดท้องมาก อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น) ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการเป็นลมใหม่ หรือมีอาการผิดปกติ (เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอก แขนขาชาหรืออ่อนแรง กลืนลำบาก พูดไม่ขัด เดินเซ เป็นต้น) หรือมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การปฐมพยาบาลคนเป็นลม

เมื่อพบผู้ป่วยเป็นลม ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

1. ขั้นตอนแรกสุดคือ รีบจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ (ไม่ต้องหนุนหมอน) เท้ายกสูง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น และหันศีรษะไปด้านข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ

2. ปลดเสื้อผ้า เข็มขัด รวมทั้งสิ่งรัดคอ (เช่น เน็กไท ผ้าพันคอ กระดุมคอ) ให้หลวม

3. ห้ามคนมุงดู เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก

4. ถ้าตัวเย็นหรืออากาศเย็น ห่มผ้าให้อบอุ่น

5. ขณะที่ยังไม่ฟื้น ห้ามให้น้ำหรืออาหารทางปาก

6. เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกตัว อย่าให้ลุกขึ้นทันที อาจทำให้เป็นลมอีกได้ ควรให้นอนพักต่ออีก 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ และตรวจดูว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือไม่

7. เมื่อผู้ป่วยฟื้นคืนสติแล้ว และเริ่มกลืนได้ อาจให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ (ถ้ารู้สึกกระหาย) หรือให้ดื่มน้ำหวาน (ถ้ารู้สึกหิว)

8. แม้ว่าผู้ป่วยจะฟื้นดีแล้ว ก็ควรส่งไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาสาเหตุ

9. ถ้าผู้ป่วยหมดสตินานเกิน 2-3 นาที ควรให้การปฐมพยาบาลแบบอาการหมดสติ หรือขณะที่หมดสติ ถ้าพบว่าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการกู้ชีวิต (CPR) ด้วยการกดหน้าอก (ปั๊มหัวใจ) แล้วนำส่งโรงพยาบาลทันที


การป้องกัน

1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัดและการสูบบุหรี่ หาทางผ่อนคลายความเครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ

2. บริโภคอาหารสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ ควบคุมน้ำหนักตัว และมีสุขนิสัยในการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคต่าง ๆ

3. เมื่อมีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น) ควรดูแลรักษาอย่างจริงจัง

4. ผู้ที่เคยเป็นลมธรรมดา ควรปฏิบัติตัวดังนี้

    หลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น เช่น การอยู่ในฝูงชนแออัด อากาศร้อน การออกกลางแดด การอดนอน การอดข้าว การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การลุกจากท่านอนราบขึ้นยืนเร็ว ๆ (ควรลุกขึ้นอย่างช้า ๆ) การยืนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ (ถ้าจำเป็นต้องยืนเป็นเวลานาน ควรขยับเดินเคลื่อนไหวไปมาบ่อย ๆ) เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เครียด ตื่นเต้น ตกใจ กลัว เช่น ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องน่ากลัว หรือน่าตื่นเต้น การเห็นเลือด
    เมื่อมีอาการไม่สบาย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน ควรรีบดูแลรักษาตัวเองให้ถูกต้อง (เช่น กินยาบรรเทาอาการ ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ป้องกันภาวะขาดน้ำ) หรือไปพบแพทย์โดยเร็ว
    เมื่อมีอาการเตือน (เช่น ศีรษะเบาหวิว วิงเวียน ตัวโคลงเคลง คลื่นไส้ หน้าซีด) ให้รีบนอนลงและยกเท้าสูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 30 ซม. หรือนั่งบนเก้าอี้แล้วก้มศีรษะลงซุกอยู่ระหว่างหัวเข่า 2 ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมหมดสติ

5. ถ้าเคยเป็นลมจากอากัปกิริยาบางอย่าง ให้หลีกเลี่ยงหรือควบคุมอากัปกิริยาที่เป็นสาเหตุ เช่น การไอ การเบ่งถ่าย เป็นต้น ถ้าเกิดจากความไวของคาโรติดไซนัส ก็ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อหรือเน็กไทรัดคอ ใช้มีดโกนไฟฟ้าแทนมีดโกนธรรมดา


ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นลมส่วนใหญ่มักไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ส่วนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำ (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมอง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้

มีรายงานว่า หญิงตั้งครรภ์หากมีอาการเป็นลมบ่อย หรือมีอาการเป็นลมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรแล้ว อาจพบว่าเป็นโรคหัวใจในภายหลังได้ และอาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือทารกพิการแต่กำเนิดได้

ดังนั้น ถ้าพบอาการเป็นลมในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ แม้ว่าอาการเป็นลมจะหายดีแล้ว ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมอย่างถี่ถ้วน และติดตามดูอาการอย่างต่อเนื่อง

2. ผู้ป่วยที่เป็นลมส่วนใหญ่จะไม่มีอาการชักเกร็งของแขนขาร่วมด้วย ส่วนน้อยอาจพบว่ามีอาการชักคล้ายโรคลมชัก ต่างกันที่ผู้ป่วยเป็นลมจะมีอาการชักตามหลังหมดสติ และชักเพียงช่วงสั้น ๆ (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 15 วินาที) ในขณะที่ผู้ป่วยลมชักจะมีอาการชักพร้อม ๆ กับหมดสติ และมักจะชักนานเกิน 1 นาที อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มักจะยากที่จะวินิจฉัยแยกโรค 2 ชนิดนี้ได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นลมและมีอาการชักร่วมด้วย อาจพบว่ามีภาวะผิดปกติของหัวใจ (เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ) ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในผู้ใหญ่

ดังนั้น เมื่อพบผู้ที่เป็นลมและมีอาการชัก เมื่ออาการทุเลาแล้วควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง เป็นต้น

3. ผู้ที่เป็นลมที่ไม่มีสาเหตุจากโรคหัวใจและโรคสมอง มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (ยกเว้นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ) ควรป้องกันไม่ให้เป็นลมซ้ำ โดยการหลีกเลี่ยงเหตุกระตุ้น และรู้จักปฏิบัติตัวต่าง ๆ (ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อ "การป้องกัน" ด้านบน)

แต่ถ้ามีอาการเป็นลมบ่อย ควรหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น การขับรถ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร การว่ายน้ำตามลำพัง การอยู่ในที่สูง เป็นต้น และควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด

4. ในการปฐมพยาบาล ขั้นตอนสำคัญที่สุดและควรรีบทำเป็นอันดับแรก ก็คือ การจับผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะต่ำ เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองให้เพียงพอ ซึ่งมักจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นได้ภายในเวลาสั้น ๆ ส่วนวิธีช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การให้ดมแอมโมเนีย การเรียกดัง ๆ การบีบนวด การใช้ผ้าเย็นเช็ดตามหน้าและคอ การพัดลม อาจมีส่วนช่วยกระตุ้นผู้ป่วย แต่ไม่ใช่วิธีการที่สำคัญในการช่วยให้ฟื้นสติ

10
เที่ยววัด ไหว้พระฮ่องกง ที่สุดของเมืองสายมู เสริมดวงครบทุกด้าน ต้องเที่ยวตามนี้!

คนเที่ยวสายมูเตลู ตามเราไปปักหมุดพิกัดลายแทง ทริปไหว้พระขอพร ไหว้พระฮ่องกง เสริมดวง ครบทุกด้าน ที่สุดของเมืองสายมู ลิสต์อันดับต้นๆ ที่ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด จะบอกว่า นี่คือที่สุดของเมืองสายมู ก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด!

เพราะการไป ไหว้พระขอพรที่ฮ่องกง นั้น เรียกได้ว่า มีครบ ตอบโจทย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หน้าที่การงาน ธุรกิจ สุขภาพ โชคลาภ ความมั่งคั่ง การศึกษา การขอบุตร ขอให้ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภยันอันตราย ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เมืองนี้มีครบจริงๆ อีกทั้งยังมีชื่อเสียงด้านความขลังมาอย่างยาวนาน เป็นตำนานเล่าขานที่บอกต่อมาว่า ขอแล้วได้จริง ไม่ผิดหวัง ทำให้ฮ่องกงนั้น เป็นหมุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวสายมู วันนี้เราได้ทำลายแทงมาให้แล้ว มาดู จด ปักหมุด แล้วเตรียมไปมูให้สุดทางกันได้เลย

 
ไหว้พระ ฮ่องกง ที่สุดของเมืองสายมู เสริมดวง ครบทุกด้าน

1. วัดหว่องไท่ซิน หรือ วัดหวังต้าเซียน

เมื่อพูดถึงหมุดหมายสายมูเมื่อไปฮ่องกง วัดหว่องไท่ซิน หรือ วัดหวังต้าเซียน เป็นสถานที่ที่ต้องมีอยู่ในลิสต์ชนิดที่ว่า ขาดไม่ได้! เพราะนี่คือหนึ่งในวัดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ในแง่ของการขอพร ต้องบอกตามตรงเลยว่า วัดนี้วัดเดียว สามารถขอได้ครบทุกด้านเลย เพราะมีองค์เทพเจ้ามากมายให้เราสักการะบูชา แต่ที่โด่งดัง และขึ้นชื่อที่สุดคงไม่พ้น เทพเจ้าด้ายแดง หรือ เทพเจ้าหยุคโหลว ซึ่งท่านเป็นเทพแห่งความรัก ทำให้ผู้คนที่มาวัดแห่งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายในการขอพรด้านความรัก ขอคู่ครอง หาเนื้อคู่ จะนำด้ายแดงมาพันที่รอบนิ้ว แล้วไปผูกกับที่รูปปั้น ตามป้ายแนะนำ

และต่อให้จะไม่ใช่สายมูแต่อย่างใด วัดแห่งนี้ก็เป็นหมุดหมายในการท่องเที่ยว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญของฮ่องกงอยู่ดี ด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรม ทำให้วัดแห่งนี้มีผู้คนแห่แหนเดินทางมาเยี่ยมวันละเป็นพันๆ คนเลย

 
2. วัดหมั่นโหมว

สำหรับผู้ที่ปักหมุดต้องการขอพรด้านการศึกษา การเรียน เมื่อมาฮ่องกงแล้ว ต้องมาที่ วัดหมั่นโหมว เลย ที่นี่เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของฮ่องกง ตั้งอยู่บนถนนฮอลลีวูด ย่านเชิงหว่าน

และที่มาที่ไปของการเป็นจุดหมายสายมูเรื่องเรียนนั้น มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เพราะวัดแห่งนี้คือที่สถิตของ เทพเจ้าหมั่นไตกวั้น เทพแห่งวรรณกรรม และ เทพเจ้าโหมวไต้กวัน เทพแห่งสงคราม ทำให้เหล่าบัณฑิตทั้งหลาย มากราบไหว้บูชาขอพรกันไม่เคยขาด เพื่อขอให้มีโชคลาภ มีชัยชนะในสนามการสอบ การศึกษา และขอความสิริมงคลให้บังเกิดแก่ชีวิตนั่นเอง

 
3. วัดโป่หลิน เกาะลันเตา

การเดินทางมาสักการะ พระพุทธรูป ที่ วัดโป่หลิน นั้น เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่เหล่านักเที่ยวสายมู ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากความขลังของ ความศักดิ์สิทธิ์แล้ว การเดินทางมาขอพรที่นี่นั้น คุณจะได้เปิดหูเปิดตาไปกับสุดยอดทิวทัศน์อันงดงามของทั้งภูเขา ท้องฟ้า และทะเล กับการนั่งกระเช้าลอยฟ้า นั่งชมวิวสุดตระการตาของเกาะลันเตา และเมื่อถึงปลายทางอย่างวัดโป่หลิน ก็ยังได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา และความงดงามของสถาปัตยกรรมโบราณที่อยู่มายืนยาวกว่า 100 ปี


4. วัดแชกงหมิว วัดกังหัน

วัดแชกงหมิว หรือที่คนจำกันติดหูว่า วัดกังหัน อีกหนึ่งหมุดหมายในลายแทงที่จะบอกว่า นี่คือหนึ่งในวัดที่ได้รับความนิยมที่สุดของฮ่องกงก็ไม่ผิดอะไรนัก ที่นี่เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงนักรบแชกงแห่งราชวงศ์ซ่ง เป็นนักรบในตำนานที่ปราบศึกศัตรูช่วยให้แผ่นดินแคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ ทำให้วัดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องการขอพรในด้าน โชคลาภ เงินทอง หน้าที่การงาน เสริมอำนาจวาสนา ปัดเป่าสิ่งเลวร้ายให้ออกไปจากชีวิต และยังมีของฝากอันเลื่องชื่ออย่าง กังหันลม และของขลังที่มีรูปกังหัน ที่จะช่วยเสริมโชคลาภ ทำให้ชีวิตราบรื่น

 
5. วัดทินหัว รีพัลส์เบย์

วัดทินหัว และ ศาลเจ้าแม่กวนอิม รีพัลส์เบย์ เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวสายมูต้องจัดให้อยู่ในลิสต์สถานที่เที่ยว โดยวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ หาดรีพัลส์เบย์ เป็นหาดน้ำตื้น มีลักษณะคล้ายจันทร์เสี้ยว และเมื่อเข้ามาที่ตัววัดแล้วต้องบอกเลยว่า มีกิจกรรมในการขอพร เสริมดวงชะตาด้านต่างๆ ที่เยอะมาก และหลากหลาย

 เริ่มจากการขอพรกับ เจ้าแม่กวนอิม ขอความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ขอโชคลาภเงินทองกับ เทพไฉ่ชิซิงเอี้ย ขอลูกกับ องค์พระสังกัจจาย ขอพรให้ธุรกิจราบรื่นกับ เจ้าแม่ทับทิม ข้ามสะพานแดงต่ออายุขัย ให้ร่างกายแข็งแรง และขอคู่กับเทพด้ายแดง ซึ่งผู้คนบอกต่อกันมาเนิ่นนานว่า ขอแล้วได้จริง


6. วัดปักไท วัดยุกฮุย

อีกหนึ่งวัดที่เราไม่อยากให้คุณพลาด การันตีความขลังด้วยประวัติศาสตร์ของตัววัดที่มีมายาวนานกว่า 160 ปี วัดปักไท หรือ วัดยุกฮุย นั้น เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนเกาะเฉิ่งเจ้า ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ ปักไท ผู้พิทักษ์และเทพอุปถัมภ์ที่มีฉายาว่า ราชาแห่งภาคเหนือ วัดแห่งนี้ เป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรให้เทพช่วย พลิกโชคชะตา แก้ชง เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี

11
การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างไร

การดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องทำแบบ องค์รวม (Holistic Care) ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วยและครอบครัว การดูแลที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นระหว่างการรักษา

นี่คือแนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งในด้านต่าง ๆ:

1. การดูแลทางด้านร่างกายและอาการ (Symptom Control)
การจัดการอาการข้างเคียงจากโรคและการรักษา (เคมีบำบัด, รังสีรักษา, การผ่าตัด) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัว

จัดการความเจ็บปวด: ปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาบรรเทาปวดให้เหมาะสมที่สุด อย่าปล่อยให้ผู้ป่วยต้องทนปวด โดยเฉพาะในระยะลุกลาม

ดูแลด้านโภชนาการ:

ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารให้ได้มากที่สุด แม้จะเบื่ออาหาร โดยเลือกอาหารที่อ่อนนุ่ม ย่อยง่าย มีโปรตีนและพลังงานสูง

หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ให้รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อยขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง หรืออาหารทอดมัน

ปรึกษานักโภชนาการเพื่อวางแผนอาหารที่เหมาะสมกับระยะของโรคและการรักษา

ดูแลสุขอนามัย: ช่วยดูแลเรื่องการอาบน้ำ การเข้าห้องน้ำ การเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

จัดการอาการอ่อนเพลีย: จัดตารางเวลาให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ควรหักโหมทำกิจกรรม แม้ในกิจกรรมที่ผู้ป่วยชอบ


2. การดูแลทางด้านจิตใจและอารมณ์ (Psychological Support)
ผู้ป่วยมะเร็งมักเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล และความกลัว การดูแลทางใจจึงเป็นหัวใจสำคัญ

รับฟังอย่างเข้าใจ: ให้เวลากับผู้ป่วยในการพูดคุย ระบายความรู้สึก ความกลัว หรือความกังวล โดยผู้ดูแลควรรับฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ตัดสิน หรือใช้คำพูดที่บั่นทอนกำลังใจ (เช่น "อย่าคิดมาก" หรือ "ต้องสู้สิ")

ให้กำลังใจอย่างเหมาะสม: ย้ำเตือนว่าคุณอยู่เคียงข้างเสมอ ใช้การสัมผัส (จับมือ กอด) เพื่อแสดงความห่วงใย

ให้ข้อมูลที่เป็นจริง: ผู้ป่วยควรรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคและการรักษาในระดับที่พวกเขาต้องการทราบ ไม่ควรปิดบังข้อมูลทั้งหมด แต่ต้องสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและอ่อนโยน

ส่งเสริมกิจกรรมผ่อนคลาย: ชวนผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ชอบและสามารถทำได้ เช่น ฟังเพลงเบา ๆ อ่านหนังสือ ทำสมาธิ หรือดนตรีบำบัด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บป่วย

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับอย่างรุนแรง ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา


3. การดูแลด้านสังคมและครอบครัว
โรคมะเร็งส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัว ผู้ดูแลจึงต้องดูแลตัวเองและบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ

การสื่อสารในครอบครัว: ทุกคนในครอบครัวควรได้รับการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับอาการและการรักษาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ และตัดสินใจร่วมกันโดยยึดความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก

แบ่งเบาภาระผู้ดูแล: การดูแลผู้ป่วยมะเร็งเป็นงานหนัก ผู้ดูแลหลักควรจัดเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง ขอความช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่น หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันภาวะเครียดของผู้ดูแล (Caregiver Burnout)

ให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วม: ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่สามารถช่วยตัวเองได้ เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่าและควบคุมชีวิตตัวเองได้ (เช่น การเลือกเมนูอาหาร การจัดการตารางนัดหมาย)


4. การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
การดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายเท่านั้น แต่สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยโรค โดยเน้นการ เพิ่มคุณภาพชีวิต และบรรเทาความทุกข์ทรมานอย่างครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการดูแลด้านจิตวิญญาณและความเชื่อของผู้ป่วยด้วย

สิ่งสำคัญที่สุด: ผู้ดูแลควรทำงานร่วมกับ ทีมแพทย์ พยาบาล และทีมสหสาขาวิชาชีพ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ต่อเนื่องและเหมาะสมกับระยะของโรคมากที่สุด

12
เครื่องมือการจัดฟัน EF LINE ต่างจากการเครื่องมือการจัดฟันเด็กแบบเหล็กจัดฟันอย่างไร

หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาฟันที่มความผิดปกติในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่มีการเกิดฟันผุมาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครอง และพฤติกรรมในวัยเด็กที่อาจจะมีเข้าข่ายมีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันในอนาคต ซึ่งในความเป็นจริง การเกิดความผิดปกติของการสบฟันที่เกิดกับเด็ก ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตามก็สามารถเกิดได้ทั้งนั้น  ดังนั้น เด็กควรที่จะได้รับการตรวจและรักษาโดยทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ดีกว่าเป็นวัยรุ่น ซึ่งเด็กสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี หรือในวัยที่กำลังมีฟันแท้งอกออกมา แต่โดยทั่วไป


การจัดฟันในเด็กอายุต่ำว่า 10 ปี มักเป็นการจัดฟันบางส่วน จุดประสงค์ก็เพื่อการรักษาเฉพาะบริเวณ เพื่อป้องกันเบื้องต้น หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ซึ่งเมื่อเด็กโตพอ ก็มักจะต้องจัดฟันทั้งปากต่อไป หรือเหมาะสำหรับการจัดฟันแบบใช้เครื่องมือ EF LINE ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี ได้อย่างดีเลยทีเดียว เพราะเนื่องจากเด็กบางคนในวัยนี้ ยังไม่สามารถดูแลตัวเองในเรื่องของการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์จัดฟันได้ดีเท่าที่ควร จึงเหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟันด้วยการใช้เครื่องมือ EF LINE พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก แบบ EF LINE ว่าจะมีความแตกต่างกับการจัดฟันในเด็กที่สวมใส่เครืองมือแบบติดแน่น ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงข้อแตกต่างของการจัดฟันในเด้กแบบ EF LINE และการจัดฟันในเด็กแบบสวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เป้นแนวทางในการจัดสินใจพาเด็กเข้ารับการจัดฟันในเด็กเพื่อแก้ไขปัญหาฟัน
 
ในปัจจุบันได้มีการศึกษาในเรื่องของทันตกรรมในเด็ก ซึ่งพบว่า กล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า EF LINE ซึ่งเครื่องมือดังกล่าว เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ


ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต  โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนถึงอายุ 15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจากการจัดฟันในเด็กที่ใส่เครื่องมือแบบติดแน่น ก็คือ การจัดฟันในเด็กแบบใส่เหล็กจัดฟันนั้น ก็เหมือนกับการจัดฟันในวัยผู้ใหญ่ เพราะใช้เครื่องมือแบบเดียวกัน และมีการดูแลรักษาที่เหมือนกัน เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป เพราะเด็กในวัยนี้ จะสามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้ดีกว่า และจะต้องมีวิธีการดูแลรักษาที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้น เครื่องมือการจัดฟันแบบติดแน่น จึงไม่เหมาะสมกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี เพราะยังไม่สามารถให้ความร่วมมือกับทันตแพทย์ได้นั่นเอง

สำหรับใครที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็ก รวมไปถึงด้านทันตกรรมในเด็กในด้านอื่นๆด้วย จากประสบการณ์อย่างยาวนานในวงการทันตกรรมทำให้สามารถให้คำปรึกษาและช่วยแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข

13
ฤดูไหนที่เหมาะสมในการขนย้ายมากที่สุด? กับ รถรับจ้างขนย้ายบ้านนนทบุรี

เมื่อเราต้องการ ขนย้ายบ้านนนทบุรี หรือย้ายของ ไม่จะเป็นการใช้ บริการรถรับจ้างนนทบุรี หรือการขนย้ายด้วยตัวเอง จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด และหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หลายคนไม่ควรมองข้ามคือ "ฤดูกาล" ที่เหมาะสมสำหรับการขนย้ายของค่ะ ทางเราขออธิบายอย่างนี้ การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นด้านความปลอดภัย อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการดำเนินการขนย้ายได้อีกด้วยค่ะ ดังนั้น เราจะพาคุณสำรวจว่าฤดูไหนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขนย้ายกันเถอะค่ะ

   
ฤดูร้อน : ความสะดวกที่มาพร้อมกับความร้อน

ฤดูร้อนเป็นฤดูที่ได้รับความนิยมสำหรับการขนย้ายมากที่สุดค่ะ ด้วยการ บริการรถรับจ้างขนของ ของเรา เนื่องจากอากาศแห้งและมีฝนตกน้อย การขนย้ายในฤดูนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการทำให้สิ่งของเปียกชื้นหรือเสียหายจากน้ำฝนได้ อย่างไรก็ตาม ความร้อนก็อาจมีผลต่อของที่เราขนย้ายด้วยเช่นกันค่ะ อย่างเช่น สินค้าการเกษตร ค่ะ และอีกเหตุผลคือทำให้เกิดความไม่สบายตัวของผู้ขนย้ายระหว่างการขนย้ายค่ะ โดยเฉพาะหากต้องทำงานกลางแจ้ง แต่ถ้าคุณมีทีมงานมืออาชีพช่วยดูแลอย่าง รถรับจ้างนนทบุรี ด้วยการบริการรถรับจ้างขนของของเรา กระบวนขนย้ายการจะง่ายขึ้นมากค่ะ

ข้อดี : อากาศแห้ง ไม่มีฝนตกกวนใจ

ข้อเสีย : อากาศร้อน อาจทำให้เกิดของเสียหายจากความร้อน หรือผู้ขนย้ายทำให้เหนื่อยง่าย และมีค่าบริการขนย้ายอาจสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงที่มีความต้องการสูงค่ะ

   
ฤดูฝน : ความเสี่ยงที่ต้องคำนึง

ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่หลายคนหลีกเลี่ยง เนื่องจากฝนตกอาจทำให้เกิดความล่าช้า และเสี่ยงต่อการที่ของจะเปียกหรือเสียหายจากความชื้นได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม เรามั่นใจว่าจะสามารถ บริการขนของ ให้กับท่านได้เป็นอย่างดี หากมีการวางแผนและจัดเตรียมวัสดุที่ป้องกันน้ำได้ เช่น ผ้าใบกันน้ำ หรือกล่องกันชื้น การขนย้ายในฤดูฝนก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ

ข้อดี : ค่าบริการขนย้ายอาจถูกลง เพราะไม่ใช่ช่วงเวลายอดนิยม และ รถขนย้าย อาจว่างและพร้อมให้บริการโดยที่คุณไม่ต้องรอคิวนานค่ะ

ข้อเสีย : ฝนตกอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายหรือเกิดความล่าช้า และส่งผลให้ของที่ขนย้ายเปียกได้ค่ะ ต้องเตรียมการป้องกันอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ใช้ของที่ขนย้ายเสียหายค่ะ

   
ฤดูหนาว : ความเย็นที่ช่วยเพิ่มความสบาย

ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่อากาศเย็นสบาย เหมาะสำหรับการขนย้ายที่ต้องใช้แรงงานกลางแจ้ง คนยกของ ขนย้ายบ้าน ย้ายไซต์งาน เพราะอากาศไม่ร้อนเกินไป ทำให้ทีมงานและเจ้าของบ้านรู้สึกผ่อนคลาย อย่างไรก็ตาม ฤดูหนาวอาจมีลมแรงในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนักสำหรับการขนย้ายค่ะ ด้วยการ บริการรถรับจ้างขนของ ของเรา

ข้อดี : อากาศเย็นสบาย ทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่มีฝนตก ทำให้ลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการขนย้ายได้ค่ะ

ข้อเสีย : ช่วงฤดูหนาวในบางพื้นที่อาจมีลมแรงหรือน้ำค้างตอนเช้า หากขนย้ายในพื้นที่ห่างไกล อาจมีข้อจำกัดเรื่องสภาพถนนค่ะ


เลือกฤดูที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของคุณ

ฤดูที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการขนย้ายขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสะดวกของคุณ ความพร้อมของบริษัทขนย้าย และสภาพอากาศในพื้นที่ของคุณ หากคุณต้องการความสะดวกสบายและปลอดภัย ฤดูร้อนและฤดูหนาวอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากต้องการลดค่าใช้จ่าย ฤดูฝนอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจ แต่ต้องวางแผนป้องกันปัญหาอย่างรอบคอบค่ะ การขนย้ายที่ราบรื่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฤดูเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการวางแผนและการเตรียมตัวอย่างดีด้วย ดังนั้น เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ และอย่าลืมหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ให้ บริการขนย้าย เพื่อให้การขนย้ายของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด เรามีความหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่คุณที่ได้อ่านอย่างแน่นอนหรือสอบถามเราได้นะคะรถรับจ้างขนของ ใกล้ฉัน


ให้การขนย้ายสะดวก สบาย ทุกฤดูกาล เลือก รถรับจ้างนนทบุรี ของเรานะคะ

หากคุณกำลังมองหา บริการรถรับจ้าง ที่สะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุกฤดูกาล "รถรับจ้างนนทบุรี" คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณค่ะ เราให้บริการด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอน เรามั่นใจว่าจะสามารถบริการขนของให้กับท่านได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการขนย้ายของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ หรือขนส่งสินค้าต่าง ๆ ทีมงานของเรามีความเป็นมืออาชีพ พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำการขนย้ายอย่างเหมาะสมค่ะ

เราเน้นการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน ฤดูฝน หรือฤดูหนาว เราก็พร้อมให้บริการทุกช่วงเวลา ด้วยรถขนส่งที่หลากหลายและทันสมัย รถกระบะรับจ้าง รถหกล้อรับจ้าง รถสิบล้อรับจ้าง รถเทรลเลอร์ รถเฮี๊ยบรับจ้าง สามารถตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ด้วยการบริการรถรับจ้างขนของของเรา อีกทั้งยังมีอุปกรณ์สำหรับการขนย้ายที่ครบครัน ช่วยป้องกันความเสียหายของสิ่งของในระหว่างการขนย้ายค่ะ ดังนั้น หากคุณต้องการประสบการณ์การขนย้ายที่ดี อย่าลืมเลือก "รถรับจ้างนนทบุรี" ของเรา แล้วคุณจะได้รับการบริการที่ดีที่สุดและประทับใจที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ

14
สร้างรายได้ จากเมนูข้าวไข่ข้นนมสด เมนูไข่นุ่มเด้งเป็นเลเยอร์ เนื้อนุ่ม หอม กินอร่อยทำขายได้

ข้าวไข่ข้นนมสดเป็นเมนูอาหารจานเดียวที่ได้รับความนิยม เนื่องจากทำง่าย รสชาติอร่อยและมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน โดยมีส่วนผสมหลักคือ ไข่ไก่ นมสดและเครื่องปรุงรสต่างๆ หากคุณกำลังมองหาอาหารจานเดียวที่ทำได้อย่างรวดเร็วและน่าพึงพอใจข้าวไข่คนนมสดครีมมี่เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม อาหารจานนี้ผสมผสานความนุ่มฟูของไข่ข้นเข้ากับความเข้มข้นของนมสด สร้างเนื้อสัมผัสที่ละลายในปากของคุณ

ข้าวไข่ข้นนมสดคืออะไร?
ข้าวไข่เจียวครีมมี่เป็นไข่เจียวสไตล์ไทยยอดนิยมที่เสิร์ฟบนข้าวสวย แตกต่างจากไข่เจียวทั่วไป ตรงที่ไข่เจียวรุ่นนี้ทำโดยการตีไข่กับนมสดเพื่อให้เนื้อสัมผัสนุ่มเนียนขึ้น เมื่อปรุงอย่างถูกต้อง ไข่เจียวจะเยิ้มเล็กน้อย ทำให้มีรสชาติเข้มข้นและเนียนนุ่ม

วัตถุดิบ
ในการทำข้าวไข่เจียวครีมที่สมบูรณ์แบบ คุณจะต้องมี:
ไข่ขนาดใหญ่ 2 ฟอง
นมสด 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา
น้ำตาล ½ ช้อนชา (ไม่จำเป็น)
เกลือและพริกไทยเล็กน้อย
เนยหรือน้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวสวย 1 ถ้วย
ท็อปปิ้งเสริม: ต้นหอมสับ ชีสขูด แฮม หรือเห็ด

วิธีทำข้าวไข่ข้นนมสด
เตรียมไข่ – ตอกไข่ใส่ชาม เติมนมสด ซีอิ๊วขาว เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย ตีส่วนผสมจนเข้ากันดีและเป็นฟองเล็กน้อย
ตั้งกระทะให้ร้อน – วางกระทะเทฟลอนบนไฟอ่อนปานกลางและใส่เนยหรือน้ำมันพืชลงไป
ทำไข่ข้น – เทส่วนผสมไข่ลงในกระทะแล้วคนเบาๆ ด้วยไม้พาย ปล่อยให้ไข่เจียวสุกช้าๆ โดยพับไข่เล็กน้อยเพื่อให้เกิดชั้นที่นุ่ม อย่าให้สุกเกินไป ไข่เจียวควรมีเนื้อเหลวเล็กน้อยตรงกลาง
เสิร์ฟ – วางข้าวสวยลงบนจาน และค่อยๆ เลื่อนไข่เจียวไปบนข้าว
เครื่องปรุง – เพิ่มเครื่องปรุงที่คุณชื่นชอบ เช่น ชีสขูด ต้นหอมสับ หรือซอสถั่วเหลืองเล็กน้อย

ทำไมคุณถึงจะรักอาหารจานนี้
รวดเร็วและง่ายดาย – ใช้เวลาเตรียมเพียง 10 นาที
นุ่มและครีมมี่ – การผสมผสานระหว่างไข่และนมสดสร้างเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม
ปรับแต่งได้ – คุณสามารถเพิ่มส่วนผสมเช่นแฮม เห็ด หรือชีส เพื่อรสชาติพิเศษ
สบายใจและอิ่มท้อง – เหมาะสำหรับอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็น

เคล็ดลับการทำออมเลตครีมมี่ให้สมบูรณ์แบบ
ใช้ไฟอ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงการสุกเกินไปและช่วยให้ไข่เจียวสุกนิ่ม
ตีให้เข้ากันเพื่อผสมอากาศให้เนื้อเนียนขึ้น

หากคุณชอบความครีมมี่มากขึ้น ให้เติม วิปปิ้งครีมปริมาณเล็กน้อยแทนที่นมสด
หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ควรใช้เนยแทนน้ำมัน
ข้าวไข่เจียวครีมมี่เป็นเมนูง่ายๆ แต่แสนอร่อยที่ใครๆ ก็ทานได้ ไม่ว่าคุณจะทำอาหารมื้อด่วนให้ตัวเองหรือสร้างความประทับใจให้ครอบครัวด้วยเมนูโฮมเมด ไข่เจียวสไตล์ไทยนี้จะต้องกลายเป็นเมนูโปรดของคุณอย่างแน่นอน

15
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


หน้า: [1] 2 3 ... 61